เรียนรู้

รวมเหตุการณ์ “ตายห่า” บนโลกใบนี้

ตายห่า หรือ การตายครั้งใหญ่ (Great Dying) เป็นปรากฏการณ์ที่มีนัยสำคัญ ในการแปลความทาง ธรณีวิทยา (Geology) หรือแม้กระทั่ง โบราณคดี (Archaeology) เพราะในวิถีธรรมชาติ สิ่งมีชีวิตทุกชนิดล้วนแล้วแต่ค่อยเป็นค่อยไปในการตาย ทยอยตายตามอายุขัยไล่เรียงกันไป โดยภาพรวม อย่างไรก็ตาม หากพบหลักฐานในอดีตที่บ่งชี้ว่า “สิ่งมีชีวิตชนิดใดๆ มีการร่วมใจกันตายแบบถ้วนหน้า แบบไม่เลือกเรียงอายุขัย ภายในช่วงระยะเวลาอันสั้น” นั่นหมายความว่า สภาพแวดล้อมการดำรงชีวิตในช่วงนั้นเปลี่ยนไปอย่างทันทีทันใด ซึ่งโดยส่วนใหญ่ สถานการณ์แบบนั้น มักเกี่ยวเนื่องกับ ภัยพิบัติธรรมชาติ (Natural Disaster)
ตัวอย่างเช่น การถล่มของวัสดุภูเขาไฟที่ทับถมกันบนภูเขาไฟวีซูเวียส ปี พ.ศ. 79 นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า อาจเป็นพิบัติภัยธุลีหลากที่รุนแรงที่สุดในโลก เนื่องจากทำให้เมืองโบราณปอมเปอี รวมท้ังประชาชนกว่า 2,000 คน ถูกฝังทั้งเป็น ด้วยวัสดุภูเขาไฟหนากว่า 2 เมตร

เพิ่มเติม : ภัยพิบัติจากภูเขาไฟ ซึ่งไม่ได้มีแค่ลาวา

เมืองโบราณปอมเปอีในปัจจุบัน ซึ่งครั้งหนึ่งเคยได้รับผลกระทบจากการปะทุของ ภูเขาไฟวิสุเวียส


ตายห่า หรือ การตายครั้งใหญ่ (Great Dying) โดยส่วนใหญ่มักทำให้จำนวนประชากรของสิ่งมีชีวิตลดต่ำลง แต่ตลอดอายุโลกกว่า 4,600 ล้ายปี ที่ผ่านมา ก็มีบ้าง ที่บางการตายห่าทำถึง จนสิ่งมีชีวิตถึงขั้นสูญพันธุ์จากโลกใบนี้ไปเลย ซึ่งในทางธรณีวิทยาเรียกว่า การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ (Mass Extinction)
ซึ่งรายละเอียด เหตุการณ์ การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ (Mass Extinction) ครั้งสำคัญบนโลก ตลอดอายุโลกกว่า 4,600 ล้ายปี ที่ผ่านมา มีดังต่อไปนี้

เพิ่มเติม : ธรณีกาล (geological time scale)

ธรณีกาล หรือ ตารางเวลาทางธรณีวิทยา

1. การสูญพันธุ์ในช่วงปลายยุคออร์โดวิเชียน (ประมาณ 444 ล้านปีก่อน)

การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ในช่วงปลาย ยุคออร์โดวิเชียน (Ordovician Period) ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์การสูญพันธุ์ที่เก่าแก่และรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์โลก เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 444 ล้านปีก่อนในช่วงปลายยุคออร์โดวิเชียน เหตุการณ์นี้เชื่อว่า เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างรุนแรง รวมถึงยุคน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่ทำให้ระดับน้ำทะเลลดลงอย่างมาก ซึ่งส่งผลให้ที่อยู่อาศัยในทะเลตื้นลดลง เมื่อธารน้ำแข็งละลาย ระดับน้ำทะเลก็กลับมาสูงขึ้นอีกครั้ง ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนอย่างรวดเร็วและทำให้สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ การสูญพันธุ์ครั้งนี้กระทบสิ่งมีชีวิตในทะเลเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งในยุคนั้นเป็นกลุ่มที่มีความหลากหลายสูง โดยมีสิ่งมีชีวิตประมาณ 85% สูญพันธุ์ เช่น ไบรโอซัว ไทรโลไบต์ และสิ่งมีชีวิตที่สร้างแนวปะการังซึ่งไม่สามารถปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงได้ทัน

เพิ่มเติม : มหายุคพรีแคมเบียน – มหายุคแห่งการจัดแจงโลกและสิ่งมีชีวิต

2. การสูญพันธุ์ในช่วงปลายยุคดีโวเนียน (ประมาณ 375–360 ล้านปีก่อน)

การสูญพันธุ์ในช่วงปลาย ยุคดีโวเนียน (Devonian Period) เกิดขึ้นเป็นระลอก ๆ ในช่วงเวลาประมาณ 15 ล้านปี เริ่มต้นเมื่อประมาณ 375 ล้านปีก่อน แม้สาเหตุที่แท้จริงยังเป็นที่ถกเถียง แต่เชื่อว่า การขาดออกซิเจนในมหาสมุทร (anoxia) เป็นปัจจัยสำคัญ ร่วมกับผลกระทบจากอุกกาบาตและการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมครั้งใหญ่ ที่เกิดจากวิวัฒนาการของพืชบนแผ่นดิน เมื่อพืชแพร่กระจายทั่วพื้นดิน พวกมันเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของดินและเพิ่มการชะล้างสารอาหารลงสู่มหาสมุทร ส่งผลให้เกิดการเบ่งบานของสาหร่ายและการขาดออกซิเจน การเปลี่ยนแปลงนี้นำไปสู่การล่มสลายของระบบนิเวศทางทะเล โดยเฉพาะสิ่งมีชีวิตที่สร้างแนวปะการัง เช่น สโตรมาโตพอรอยด์และปะการัง ในช่วงนี้มีสิ่งมีชีวิตสูญพันธุ์ไปประมาณ 75% โดยสัตว์ไม่มีกรามและสิ่งมีชีวิตในทะเลได้รับผลกระทบอย่างหนัก

เพิ่มเติม : มหายุคพาลีโอโซอิก – เมื่อสิ่งมีชีวิตเริ่มรุกขึ้นบก

3. การสูญพันธุ์ในช่วงปลายยุคเพอร์เมียน (The “Great Dying,” ประมาณ 252 ล้านปีก่อน)

การสูญพันธุ์ในช่วงปลาย ยุคเพอร์เมียน (Permian Period) เป็นเหตุการณ์การสูญพันธุ์ที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์โลก เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 252 ล้านปีก่อน มีสิ่งมีชีวิตในทะเลสูญพันธุ์ถึง 96% และสัตว์มีกระดูกสันหลังบนบกประมาณ 70% สาเหตุหลักคาดว่า เกิดจากการปะทุของภูเขาไฟในไซบีเรีย (Siberian Traps) ซึ่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกมหาศาล เช่น คาร์บอนไดออกไซด์และมีเทน สู่ชั้นบรรยากาศ ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนรุนแรง กรดในมหาสมุทร และการขาดออกซิเจนในน้ำ เงื่อนไขเหล่านี้ทำให้สิ่งมีชีวิตจำนวนมากไม่สามารถอยู่รอดได้ ระบบนิเวศบนพื้นดินและป่าไม้ล่มสลาย เหลือเพียงโลกที่รกร้าง เหตุการณ์นี้ถือเป็นจุดสิ้นสุดของยุคพาลีโอโซอิกและเปิดทางให้ไดโนเสาร์รุ่งเรืองในยุคมีโซโซอิก

ชั้นหินบะซอลต์แสดงการไหลหลากของลาวาจำนวนมากในไซบีเรีย (ที่มา : www.howstuffworks.com)

4. การสูญพันธุ์ในช่วงปลายยุคไทรแอสซิก (ประมาณ 201 ล้านปีก่อน)

การสูญพันธุ์ในช่วงปลาย ยุคไทรแอสซิก (Triassic Period) เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 201 ล้านปีก่อน และเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญที่เปิดทางให้ไดโนเสาร์ครองโลก สาเหตุของการสูญพันธุ์ครั้งนี้คาดว่า เกิดจากการปะทุของภูเขาไฟในเขต Central Atlantic Magmatic Province (CAMP) ซึ่งปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนมาก ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน กรดในมหาสมุทร และการเปลี่ยนแปลงในวัฏจักรคาร์บอน สิ่งมีชีวิตประมาณ 80% สูญพันธุ์ รวมถึงสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก สัตว์เลื้อยคลานในทะเล และสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง เหตุการณ์นี้ไม่เพียงแต่เปลี่ยนแปลงระบบนิเวศ แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการสร้างวิวัฒนาการใหม่สำหรับการแพร่กระจายของไดโนเสาร์ในยุคจูราสสิก

เพิ่มเติม : 6 ลีลาการ ถ่ม-ถุย-ผุย-พ่น ของภูเขาไฟ

ตัวอย่าง ผลกระทบจากภัยพิบัติเถ้าหล่น ภูเขาไฟพินาตูโบประทุ พ.ศ. 2534 เมฆของเถ้าภูเขาไฟกว้าง 400 กิโลเมตร สะสมบนหลังคาน้ำหนักเถ้าทำให้โครงสร้างถล่ม เถ้าหล่นในพื้นที่เกษตร ผลิตผลการเกษตรเสียหาย

5. การสูญพันธุ์ในช่วงปลายยุคครีเทเชียส (ประมาณ 66 ล้านปีก่อน)

การสูญพันธุ์ในช่วงปลาย ยุคครีเทเชียส (Cretaceous Period) หรือที่รู้จักกันดีว่าเป็นการสิ้นสุดของยุคไดโนเสาร์ เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 66 ล้านปีก่อน สาเหตุสำคัญเกิดจากการชนของอุกกาบาตขนาดใหญ่ที่สร้างปล่องชิคซูลูบ (Chicxulub) ในประเทศเม็กซิโก ร่วมกับการปะทุของภูเขาไฟในเขต Deccan Traps ของอินเดีย การชนของอุกกาบาตทำให้เกิดพลังงานมหาศาล ฝุ่นละอองและเศษซากที่ปล่อยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศบดบังแสงอาทิตย์ ทำให้เกิดฤดูหนาวนิวเคลียร์และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างรวดเร็ว สิ่งมีชีวิตประมาณ 76% สูญพันธุ์ รวมถึงไดโนเสาร์ที่ไม่ใช่นก แอมโมไนต์ และสัตว์เลื้อยคลานในทะเล เหตุการณ์นี้เปิดทางให้สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม และในที่สุดก็นำไปสู่การเกิดขึ้นของมนุษย์

เพิ่มเติม : มหายุคมีโซโซอิก – ยุคทองของ ไดโนเสาร์

เพิ่มเติม : อุกกาบาต กับการโหม่งโลก

เพิ่มเติม : อุลกมณี (tektite)

(ซ้าย) ภาพถ่ายดาวเทียมแสดงตำแหน่งการตกของอุกกาบาตชิคซูลูป บริเวณคาบสมุทรยูคาทาน ประเทศเม็กซิโก (ขวา) แผนที่การสำรวจธรณีฟิสิกส์ด้วยวิธีแรงโน้มถ่วง (gravity) แสดงโครงสร้างของหลุมอุกกาบาต

การสูญพันธุ์สำคัญอื่น ๆ

6. การสูญพันธุ์ในช่วงแคมเบรียน-ออร์โดวิเชียน (Cambrian-Ordovician) (ประมาณ 488 ล้านปีก่อน) การสูญพันธุ์ครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงเปลี่ยนผ่านระหว่างยุคแคมเบรียนและออร์โดวิเชียน ส่งผลกระทบต่อไทรโลไบต์และสิ่งมีชีวิตในทะเลยุคแรก แม้จะไม่รุนแรงเท่าการสูญพันธุ์อื่นๆ แต่ก็ถือเป็นช่วงสำคัญของการเปลี่ยนแปลงความหลากหลายทางทะเล

เพิ่มเติม : ไทรโลไบต์ (Trilobite)

7. การสูญพันธุ์ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในยุคไพลสโตซีน (Pleistocene Epoch) (ประมาณ 10,000 ปีก่อน) การสูญพันธุ์ครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงปลายยุคน้ำแข็งครั้งสุดท้าย สัตว์ขนาดใหญ่ เช่น แมมมอธ แมสโตดอน เสือเขี้ยวดาบ และสลอธยักษ์ สูญพันธุ์ในหลายภูมิภาค สาเหตุหลักคาดว่าเกิดจากการล่าของมนุษย์และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเมื่อธารน้ำแข็งละลายและที่อยู่อาศัยเปลี่ยนไป

เพิ่มเติม : ยุคน้ำแข็ง (Ice Age)

เพิ่มเติม : วัฏจักรมิลานโควิช (Milankovitch Cycles)

8. การสูญพันธุ์ในยุคโฮโลซีน (Holocene Epoch) (กำลังเกิดขึ้น) การสูญพันธุ์ในยุคปัจจุบัน มีลักษณะพิเศษคือ เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การทำลายถิ่นที่อยู่ มลพิษ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการล่าสัตว์เกินความจำเป็น สัตว์และพืชหลายพันชนิดกำลังเผชิญกับการสูญพันธุ์ในอัตราที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

เพิ่มเติม : มหายุคซีโนโซอิก – มหายุคแห่งนม

โดยสรุป เหตุการณ์การสูญพันธุ์เหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความเปราะบางของชีวิตบนโลก และผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมที่มีต่อระบบนิเวศ แต่ละเหตุการณ์ได้เปลี่ยนแปลงความหลากหลายทางชีวภาพของโลก และเปิดทางให้สิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ครองพื้นที่ สำหรับการสูญพันธุ์ในยุคโฮโลซีนที่กำลังดำเนินอยู่ ถือเป็นการเตือนให้มนุษย์ตระหนักถึงบทบาทสำคัญของเราต่อการอนุรักษ์ชีวิตบนโลก

. . .
บทความล่าสุด : www.mitrearth.org
เยี่ยมชม facebook : มิตรเอิร์ธ – mitrearth

Share: