เรียนรู้

มหายุคมีโซโซอิก – ยุคทองของ ไดโนเสาร์

มหายุคมีโซโซอิก (Mesozoic era) เป็นมหายุคตอนกลาง 252-66 ล้านปี สิ่งมีชีวิตที่อยู่รอดจากการสูญพันธุ์ในช่วง ยุคเพอร์เมียน (ยุคสุดท้ายของมหายุคพาลีโอโซอิก) เริ่มมีวิวัฒนาการและมีความหลากหลายของสายพันธุ์มากขึ้น พืชเมล็ดเปลือย (gymnosperm) เช่น ปรง (cycad) สน (conifer) และแปะก๊วย (ginkgoe) เป็นพืชโดดเด่นของมหายุคมีโซโซอิก

พืชเมล็ดเปลือย (gymnosperm) ชนิดต่างๆ (ที่มา : www.wikimedia.org)

ในขณะที่สัตว์เลื้อยคลาน กลายเป็นสัตว์ที่โดดเด่นที่อาศัยอยู่บนบก โดยในช่วงแรกสัตว์เลื้อยคลานจะมีขนาดเล็ก แต่พัฒนาและเจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไดโนเสาร์ (dinosuar) นอกจากนี้ยังพบฟอสซิลอาร์คีออปเทอริกซ์ (Archaeopteryx) ซึ่งเป็นสัตว์บรรพบุรุษของนกในปัจจุบัน

ฟอสซิล (ซ้าย) ส่วนหัวของไดโนเสาร์ และ (ขวา) อาร์คีออปเทอริกซ์

สภาพอากาศทั่วโลกของมหายุคมีโซโซอิกไม่ค่อยมีโซนภูมิอากาศที่รุนแรง ไม่มีธารน้ำแข็ง และไม่พบหลักฐานของถ่านหิน นักวิทยาศาสตร์จึงประเมินว่าน่าจะมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ในชั้นบรรยากาศจำนวนมาก โดยมหายุคมีโซโซอิกแบ่งย่อยเป็น 3 ยุค

1) ยุคไทรแอสสิก

ยุคไทรแอสสิก (Triassic Period) เป็นยุคแรกของมหายุคเมโสโซอิก ครอบคลุมช่วงเวลาตั้งแต่ 252-205 ล้านปี เป็นการเริ่มต้นของสัตว์เลื้อยคลานที่มีลักษณะคล้ายกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ซึ่งในเวลาต่อมาถูกแทนที่ด้วยสัตว์ที่เป็นต้นตระกูลไดโนเสาร์ พื้นทวีปไม่อุดมสมบูรณ์ พืชโดยส่วนใหญ่ที่สามารถเจริญเติบโตได้ในยุคนี้จึงเป็นพืชจำพวก สน ปรง และเฟิร์น

2) ยุคจูแรสสิก

ยุคจูแรสสิก (Jurassic Period) เป็นยุคกลางของมหายุคเมโสโซอิก ครอบคลุมช่วงเวลาตั้งแต่ 205-144 ล้านปี เป็นยุคที่ไดโนเสาร์ครองโลก สัตว์เลื้อยคลานบินได้เริ่มพัฒนาเป็นสัตว์ปีก เช่น นก แอมโมไนต์ (ammonite) แพร่กระจายและวิวัฒนาการไปเป็นสัตว์ เช่น ปลาหมึก พืชยังเป็นพืชไร้ดอก ปรงพบมากในช่วงยุคจูแรสซิก และพบโดยทั่วไปจนถึงยุคครีเทเชียส แปะก๊วยพบโดยทั่วไปในมหายุคมีโซโซอิก และยังคงมีอยู่ในปัจจุบัน

ความหลากหลายของสายพันธุ์และวิวัฒนาการของไดโนเสาร์ในมหายุคมีโซโซอิก(ที่มา : https://earthandourecosystem.wordpress.com)

3) ยุคครีเทเชียส

ยุคครีเทเชียส (Cretaceous Period) เป็นยุคสุดท้ายของมหายุคเมโสโซอิก ครอบคลุมช่วงเวลาตั้งแต่ 144-66 ล้านปี สิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้นใหม่ ได้แก่ งู นก และพืชมีดอก ไดโนเสาร์วิวัฒนาการให้มีนอ ครีบหลัง และผิวหนังหนาสำหรับป้องกันตัว ปลายยุคครีเทเชียสเกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ ไดโนเสาร์สูญพันธุ์ทั้งหมด สิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆ สูญพันธุ์ประมาณ 70% ของสายพันธุ์สิ่งมีชีวิตทั้งหมด

การสูญพันธุ์ปลายมหายุคมีโซโซอิก

ในช่วงสิ้นสุดของยุคครีเทเชียสมีการพัฒนาความหลากหลายของสายพันธุ์อย่างมาก รวมทั้งไดโนเสาร์ ซึ่งต่อมาในช่วงประมาณ 66 ล้านปี ที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์พบหลักฐานที่บ่งชี้ว่า 75% ของสายพันธุ์สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในยุคครีเทเชียสสูญพันธุ์ภายในระยะเวลาอันสั้น และถูกแทนที่ด้วยพืชดอก สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมและสัตว์ประเภทนก ซึ่งสาเหตุการสูญพันธุ์ยุคนี้ นักวิทยาศาสตร์ตั้งสมมุติฐานไว้หลากหลายสมมุติฐาน

1) ธรณีแปรสัณฐาน

ในช่วงปลายยุคครีเทเชียส สันเขากลางมหาสมุทรมีอัตราการแยกตัวออกจากกันเร็วขึ้น ซึ่งตรงกันข้ามกับสันเขากลางมหาสมุทรในช่วงปลายยุคเพอร์เมียน ของมหายุคพาลีโอโซอิก ที่มีอัตราการแยกตัวที่ต่ำ ผลจากการแยกตัวของแผ่นเปลือกโลกด้วยอัตราที่เร็วขึ้น ทำให้พื้นที่มหาสมุทรยกตัวสูงขึ้นและระดับน้ำทะเลสูงขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับพื้นทวีป เช่น ในช่วงตอนกลางของยุคครีเทเชียส (110-85 ล้านปี) เกิดการแยกตัวของสันเขากลางมหาสมุทรอย่างรวดเร็ว ทำให้ทะเลนั้นสูงกว่าระดับน้ำทะเลในปัจจุบันประมาณ 200 เมตร เกิดการรุกล้ำของน้ำทะเลเข้าสู่พื้นทวีปครอบคลุมพื้นที่กว้าง ทำให้ความหลากหลายของสายพันธุ์สิ่งมีชีวิต โดยเฉพาะสิ่งมีชีวิตบนบกลดลงหรือสูญพันธุ์

แบบจำลองความสัมพันธ์ระหว่างอัตราการแยกตัวของสันเขากลางมหาสมุทรและระดับน้ำทะเล (ที่มา : www.slideplayer.com)

นอกจากนี้ จากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์พบว่าในช่วง 130 ล้านปี ธารน้ำแข็งทั่วโลกหลอมละลายจนหมด ทำให้ระดับน้ำทะเลสูงกว่าระดับปัจจุบันถึง 70 เมตร นักวิทยาศาสตร์จึงคาดว่าการเปลี่ยนแปลงอย่างทันทีทันใดของระดับน้ำทะเลดังกล่าว อาจส่งผลต่อการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตในช่วงปลายยุคครีเทเชียสเช่นกัน

2) กิจกรรมภูเขาไฟ

ตัวอย่างเช่น เมื่อประมาณ 120 ล้านปี เกิดการปะทุของภูเขาไฟและเกิดการไหลหลากของลาวาครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 36 ล้านตารางกิโลเมตร ในบริเวณ อนตง-จาวา (Ontong Java) ประเทศอินโดนีเซีย ทำให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้นประมาณ 13 องศาเซลเซียส และลาวาโดยส่วนใหญ่ไหลลงไปทับถมในมหาสมุทร ทำให้ระดับน้ำทะเลทั่วโลกสูงขึ้นมากกว่า 10 เมตร เกิดการสูญพันธุ์ในรูปแบบที่คล้ายกับการเปลี่ยนแปลงระดับน้ำทะเล

นอกจากนี้เมื่อประมาณ 66ล้านปี ที่ผ่านมา เกิดการปะทุของภูเขาไฟยาวนาน 1 ล้านปี และลาวาไหลหลากคลอบคลุมพื้นที่ > 2 ล้านกิโลเมตร ในพื้นที่โดยส่วนใหญ่ของภาคตะวันตกและตอนกลางของประเทศอินเดีย ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเหตุการณ์ดังกล่าว ส่งผลต่อภูมิอากาศทั่วโลก เช่นเดียวกันกับเหตุการณ์ลาวาไหลหลากที่เคยเกิดขึ้นในช่วงยุคเพอร์เมียน ของมหายุคพาลีโอโซอิก

ชั้นหินบะซอลต์แสดงการไหลหลากของลาวาจำนวนมากในไซบีเรีย (ที่มา : www.howstuffworks.com)

3) สาเหตุจากนอกโลก

อีกหนึ่งหลักฐานสำคัญที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า อาจเป็นสาเหตุหลักของการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ในยุคยุคครีเทเชียส-ยุคเทอร์เชียรี คือ การตกกระทบของอุกกาบาตชิคซูลูป (Chicxulub Asteroid Impact) บริเวณตอนเหนือของคาบสมุทรยูคาทาน ประเทศเม็กซิโก เมื่อประมาณ 66 ล้านปี ที่ผ่านมา

(ซ้าย) ภาพถ่ายดาวเทียมแสดงตำแหน่งการตกของอุกกาบาตชิคซูลูป บริเวณคาบสมุทรยูคาทาน ประเทศเม็กซิโก (ขวา) แผนที่การสำรวจธรณีฟิสิกส์ด้วยวิธีแรงโน้มถ่วง (gravity) แสดงโครงสร้างของหลุมอุกกาบาต

ผลการสำรวจธรณีฟิสิกส์ด้วยวิธีแรงโน้มถ่วงและวิธีแม่เหล็ก ทางตอนเหนือของคาบสมุทรยูคาทาน พบค่าสัญญาณความผิดปกติเป็นรูปวงกลม และจากการสำรวจคลื่นไหวสะเทือน (seismic survey) ทำให้นักวิทยาศาสตร์แปลความได้ว่าหลุมอุกกาบาตนี้มี 1) วงแหวนชั้นใน เส้นผ่านศูนย์กลาง 80 กิโลเมตร ซึ่งยกพื้นที่สูงขึ้น และ 2) วงแหวนชั้นนอก เส้นผ่านศูนย์กลาง 195 กิโลเมตร ซึ่งลึกลงไป 60 กิโลเมตร

นอกจากนี้ในระหว่างการเจาะสำรวจปิโตรเลียมในพื้นที่คาบสมุทรยูคาทาน นักวิทยาศาสตร์ยังพบ แร่สติโชไวต์ (stishovite) ซึ่งเป็นแร่ควอตซ์ที่มีโครงสร้างผลึกแสดงหลักฐานว่าเคยได้รับแรงดันอย่างรุนแรง สนับสนุนว่าพื้นที่คาบสมุทรยูคาทานอาจเป็นหลุมที่เกิดจากการตกกระทบของอุกกาบาตในอดีต

(ซ้าย) ตัวอย่างแร่สติโชไวต์ (ขวา) ชั้นหินที่มีธาตุอิริเดียมสูงอย่างผิดปกติ ( ที่มา : www.chinaneolithic.com; USGS)

นอกจากนี้ ในปี พ.ศ. 2520 กลุ่มนักวิทยาศาสตร์พบว่าชั้นหินใกล้เมืองกับบิโอ (Gubbio) ประเทศอิตาลีนั้น ซึ่งมี ธาตุอิริเดียม (Ir) ปนเปื้อนอยู่ในระดับที่สูงกว่าปกติ 300 เท่า ซึ่งโดยทั่วไปธาตุอิริเดียมนั้นจะมีน้อยมากในแผ่นเปลือกโลก แต่พบมากในแก่นโลกและเป็นองค์ประกอบของอุกกาบาต นักวิทยาศาสตร์จึงเชื่อว่าธาตุอิริเดียมความเข้มข้นสูงที่พบในชั้นหินดังกล่าว อาจจะเกิดจากการตกกระทบของอุกกาบาตในคาบสมุทรยูคาทาน ด้วยเช่นกัน ซึ่ง ผลจากการตกกระทบของอุกกาบาต นักวิทยาศาสตร์ประเมินว่าทำให้เกิดภัยพิบัติในหลายด้านจนทำให้มีความสุ่มเสี่ยงต่อการสูญพันธ์ุของสิ่งมีชีวิตได้

1) เกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่กว่า 11.3 และสึนามิสูงกว่า 300 เมตร ซึ่งพบหลักฐานชั้นตะกอนสึนามิ ตามแนวชายฝั่งของอ่าวเม็กซิโก

2) เกิดไฟไหม้ป่าครอบคลุมพื้นที่กว้างหรืออาจทั่วโลก ซึ่งยืนยันได้จากการพบถ่านจำนวนมากในชั้นดิน

3) มีไนโตรเจนออกไซด์จำนวนมากในชั้นบรรยากาศ ทำให้เกิดฝนกรด ซึ่งเมื่อตกลงสู่มหาสมุทรทำให้สิ่งมีชีวิตในมหาสมุทรตาย

4) ฝุ่นละอองกั้นแสงอาทิตย์ทำให้พืชไม่สามารถสังเคราะห์แสงและตายลง และต่อมาสัตว์ต่างๆ ตายตามไป เนื่องจากไม่มีพืชเป็นอาหาร

5) ไอน้ำและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ฟุ้งกระจายและหลงเหลือในชั้นบรรยากาศทำให้เกิดปรากฏการณ์เรือนกระจก และเกิดภาวะโลกร้อน อุณหภูมิของโลกสูงขึ้นกว่า 10 องศาเซลเซียส

ผลจากการกำหนดอายุทางวิทยาศาสตร์พบว่าการตกกระทบของอุกกาบาตนั้นเกิดขึ้นเมื่อ 66 ล้านปี ที่ผ่านมา จึงเรียกเหตุการณ์สูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้ว่า การสูญพันธุ์ยุคครีเทเชียส-ยุคเทอร์เชียรี (Cretaceous-Tertiary หรือK-T Extinction) ซึ่งถือเป็นการสิ้นสุดมหายุคมีโซโซอิก

. . .
บทความล่าสุด : www.mitrearth.org
เยี่ยมชม facebook : มิตรเอิร์ธ – mitrearth

Share:
Slot Toto Slot Gacor Maxwin slot thailand slot toto slot resmi slot thailand slot qris slot gacor maxwin slot gacor maxwin Slot Gacor Maxwin Slot Gacor Maxwin 2024 Situs Slot Gacor 777 Situs Slot Gacor Toto Slot Gacor 2024 Maxwin Slot Gacor Terbaik Slot Gacor 4D Slot Gacor Terpopuler slot gacor maxwin slot toto gacor scatter hitam slot thailand slot777 slot maxwin slot thailand slot toto gacor slot gacor 777 Slot Gacor Thailand slot88 maxwin slot thailand 2024