ok15-168 แอมโมไนต์ (Ammonite)

แอมโมไนต์ (Ammonite) คือซากดึกดำบรรพ์ของสัตว์ทะเลที่สูญพันธุ์แล้วใน กลุ่ม Ammonoidea ซึ่งเป็นญาติใกล้ชิดของปลาหมึก หมึกยักษ์ และหมึกกระดองในปัจจุบัน ฟอสซิลเหล่านี้มีความโดดเด่นทั้งในด้านความงาม คุณค่าทางวิทยาศาสตร์ และการใช้เป็นฟอสซิลดัชนีในการกำหนดอายุชั้นหิน

เพิ่มเติม : กฏ 8 ข้อ การลำดับเรื่องราวทางธรณีวิทยาที่เกิดขึ้นบนโลก
เพิ่มเติม : ฟอสซิลและวิธีการเกิดฟอสซิล
เพิ่มเติม : ธรณีกาล : กาลเวลาทางธรณีวิทยา
เพิ่มเติม : มหายุคพรีแคมเบียน – มหายุคแห่งการจัดแจงโลกและสิ่งมีชีวิต
เพิ่มเติม : มหายุคพาลีโอโซอิก – เมื่อสิ่งมีชีวิตเริ่มรุกขึ้นบก
เพิ่มเติม : มหายุคมีโซโซอิก – ยุคทองของ ไดโนเสาร์
เพิ่มเติม : มหายุคซีโนโซอิก – มหายุคแห่งนม

Ammonites (Cardioceras) cordatus (Quenstedt) = Cardioceras cordatum (Sowerby 1813), มองจากด้านล่าง
Ammonites (Schloenbachia) coupei (Brogniart) = Schloenbachia varians? (J. Sowerby, 1817), มองจากด้านข้าง
Ammonites (Schloenbachia) coupei (Brogniart) = Schloenbachia varians? (J. Sowerby, 1817), มองจากด้านล่าง
Ammonites (Ptychites) opulentus (Mojsisovich) = Ptychites opulentus Mojsisovich, 1882, มองจากด้านข้าง (ชั้นเปลือกนอกถูกลอกออก)
Ammonites (Ptychites) opulentus (Mojsisovich) = Ptychites opulentus Mojsisovich, 1882, มองจากด้านล่าง
Ammonites (ornatus) mammillaris (Schlotheim) = Douvilleiceras mammillatum (Schlotheim 1813), มองจากด้านข้าง
Ammonites (planulatus) cavernosus (Quenstedt) = Puzosia planulatus (J. Sowerby, 1827), มองตัดขวาง (cross-section)
Ammonites (amaltheus) rotula (Schlotheim) = Amaltheus margaritatus Montfort, 1808, มองจากด้านข้าง
Ammonites (stephanoceras) humphryi (Sowerby) = Stephanoceras humphriesianum (Sowerby, 1825), มองจากด้านข้าง
(ที่มา : https://th.wikipedia.org)
ลักษณะเด่น
ลักษณะเด่นของแอมโมไนต์ แอมโมไนต์มีจุดเด่นที่เปลือกทรงเกลียวที่มีลวดลายซับซ้อนและสมมาตร ลักษณะสำคัญประกอบด้วย
1) รูปร่างของเปลือก ส่วนใหญ่มีเปลือกทรงเกลียวแน่น แต่บางชนิดอาจมีเปลือกที่คลายตัวบางส่วนหรือคลายตัวทั้งหมด
2) ลวดลายรอยต่อ (Suture Patterns) จุดเชื่อมระหว่างผนังด้านในกับเปลือกด้านนอกเรียกว่ารอยต่อ (suture) มีลวดลายซับซ้อน เช่น แบบ goniatitic, ceratitic และ ammonitic ซึ่งใช้แยกประเภทและกำหนดสายวิวัฒนาการของแอมโมไนต์
ลวดลายรอยต่อ (Suture Patterns)
3) ห้องและผนังกั้น (Chambers and Septa) เปลือกแบ่งออกเป็นหลายห้อง โดยสัตว์อาศัยอยู่ในห้องสุดท้าย ส่วนห้องอื่นใช้ปรับสมดุลการลอยตัว
4) ขนาด ขนาดของแอมโมไนต์มีตั้งแต่ไม่กี่เซนติเมตรไปจนถึงกว่า 2 เมตร ขึ้นอยู่กับชนิด

ภาพล่าง ภาพตัดขวางของแอมโมไนต์ เปลือกส่วนใหญ่มีประมาณ 5-6 ขด (whorls) และจากหลักฐานซากดึกดำบรรพ์มีการประมาณว่า แต่ละขดใช้เวลาตั้งแต่สี่เดือนจนถึงสามปีกว่าจะเติบโตขึ้น มีโครงสร้างคล้ายท่อเรียกว่า ไซฟังคิล (siphuncle)
เชื่อมต่อห้องต่าง ๆ โดยพาดผ่าน ส่วนด้านบนของเปลือกที่ขด (venter) แอมโมไนต์บางชนิดถูกพบพร้อมแผ่นแคลไซต์เล็ก ๆ เรียกว่า aptychi ในอดีตเคยเชื่อว่า aptychi ทำหน้าที่เป็น “ฝาปิด” บริเวณปากเปลือก เพื่อป้องกันผู้ล่า แต่การวิจัยล่าสุดบ่งชี้ว่าแท้จริงแล้ว aptychi อาจเป็นส่วนหนึ่งของ ขากรรไกร
(ที่มา : https://depositsmag.com)
แม้ว่าเปลือกฟอสซิลของแอมโมไนต์จะพบมากมายมหาศาล แต่ข้อมูลเกี่ยวกับอวัยวะเนื้อเยื่ออ่อนของพวกมันกลับแทบไม่มี ยกเว้นร่องรอยของอวัยวะย่อยอาหารหรือถุงหมึก ซึ่งพบเฉพาะในตัวอย่างหายากมาก และแม้จะไม่พบหลักฐานของหนวด แต่ก็เชื่อได้ว่าแอมโมไนต์มีลักษณะใกล้เคียงกับหมึกทะเลยุคปัจจุบันและนอติลอยด์ ความรู้ส่วนใหญ่เกี่ยวกับแอมโมไนต์ได้มาจาก การศึกษาเปลือกของพวกมันและการทดลองด้วยแบบจำลองในถังน้ำ รอยกล้ามเนื้อบางครั้งที่พบอยู่ด้านในเปลือกบ่งชี้ว่า แอมโมไนต์น่าจะเคลื่อนที่โดยการพ่นน้ำออกจากช่องทางรูปกรวย เพื่อขับเคลื่อนตัวเองไปในทิศตรงข้าม — เป็นการเคลื่อนที่แบบเจ็ต (jet propulsion)
ถิ่นที่อยู่
ถิ่นที่อยู่ แอมโมไนต์เป็นสัตว์ทะเลที่อาศัยอยู่ในมหาสมุทรทั่วโลก โดยพบในแหล่งที่อยู่อาศัยดังนี้
- น่านน้ำตื้น หลายชนิดอาศัยในทะเลน้ำตื้นที่อบอุ่น ใกล้แนวปะการังและชายฝั่ง ซึ่งมีแหล่งอาหารอุดมสมบูรณ์
- มหาสมุทรลึก บางชนิดปรับตัวให้สามารถอยู่ในน้ำลึกในมหาสมุทรได้
- เขตทะเลเปิด (Pelagic Zone) แอมโมไนต์เป็นสัตว์ว่ายน้ำอิสระที่เคลื่อนที่ในน้ำกลางทะเล และใช้หนวดจับเหยื่อ เช่น แพลงก์ตอน ครัสเตเชีย และสัตว์ทะเลตัวเล็กอื่น ๆ
แอมโมไนต์มีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่อาหารของระบบนิเวศทางทะเลในยุคนั้น
ช่วงเวลาการดำรงชีวิต
แอมโมไนต์ปรากฏขึ้นครั้งแรกใน ยุคดีโวเนียน (ประมาณ 400 ล้านปีก่อน) และเจริญรุ่งเรืองจนกระทั่งสูญพันธุ์ในปลาย ยุคครีเทเชียส (ประมาณ 66 ล้านปีก่อน) โดยมีช่วงเวลาสำคัญดังนี้
1) ยุคพาลีโอโซอิก (Devonian – Permian) แอมโมไนต์ยุคแรก เช่น Goniatites มีรอยต่อที่เรียบง่ายกว่า
2) ยุคมีโซโซอิก (Triassic – Cretaceous) แอมโมไนต์เจริญเติบโตหลากหลาย และมีรอยต่อที่ซับซ้อนมากขึ้นในยุคนี้
3) การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ แอมโมไนต์สูญพันธุ์ในเหตุการณ์การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ Cretaceous-Paleogene (K-Pg) ซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ความเป็นกรดในมหาสมุทร และผลกระทบจากการชนของดาวเคราะห์น้อย

ความสำคัญทางวิทยาศาสตร์
ความสำคัญทางวิทยาศาสตร์ ฟอสซิลแอมโมไนต์มีคุณค่ามหาศาลในหลายด้าน
1) ฟอสซิลดัชนี ด้วยวิวัฒนาการอย่างรวดเร็วและการแพร่กระจายกว้างขวาง แอมโมไนต์ถูกใช้ในการกำหนดอายุและลำดับชั้นหิน
2) การศึกษาแหล่งอาศัยในอดีต ฟอสซิลช่วยสร้างภาพสภาพแวดล้อมของมหาสมุทรในอดีตและความหลากหลายทางชีวภาพ
3) การศึกษาวิวัฒนาการ ความหลากหลายของรูปร่างและลวดลายรอยต่อให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับกระบวนการวิวัฒนาการในช่วงเวลาหลายล้านปี
แหล่งฟอสซิลสำคัญ
แหล่งฟอสซิลสำคัญ ฟอสซิลแอมโมไนต์พบได้ในชั้นหินตะกอนทั่วโลก เช่น
- ยุโรป ชายฝั่งจูราสสิกของอังกฤษ ซึ่งเป็นมรดกโลกของยูเนสโก มีแหล่งฟอสซิลแอมโมไนต์ที่อุดมสมบูรณ์
- อเมริกาเหนือ แหล่งฟอสซิลใน Western Interior Seaway ให้ข้อมูลเกี่ยวกับระบบนิเวศในยุคครีเทเชียส
- เอเชีย แหล่งฟอสซิลในอินเดีย ญี่ปุ่น และจีน มีตัวอย่างแอมโมไนต์ที่สวยงามและสมบูรณ์
การประยุกต์และความสำคัญผมทางวัฒนธรรม
- การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ฟอสซิลแอมโมไนต์ถูกนำไปศึกษาในด้านบรรพชีวินวิทยาและธรณีวิทยา
- เครื่องประดับและของตกแต่ง แอมโมไนต์ที่มีการเกิดสีรุ้งจากการแปรสภาพของแร่ เช่น Ammolite ถูกนำมาใช้ในเครื่องประดับ
- สัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม ในบางวัฒนธรรม แอมโมไนต์ถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของการปกป้อง ความเป็นนิรันดร์ และวงจรชีวิต
ฟอสซิลแอมโมไนต์ ด้วยรูปลักษณ์ที่สวยงามและความหลากหลายของรูปแบบ ยังคงสร้างความหลงใหลให้กับนักวิทยาศาสตร์และผู้ที่ชื่นชอบทั่วโลก ทั้งในด้านการศึกษาและการตกแต่ง จึงถือเป็นหน้าต่างที่เปิดสู่ความลึกลับของมหาสมุทรในอดีต
. . .
บทความล่าสุด : www.mitrearth.org
เยี่ยมชม facebook : มิตรเอิร์ธ – mitrearth