![](https://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2021/02/4-89-6-750x375.jpg)
ปฐมบทการศึกษาแนวรอยเลื่อนในประเทศไทยถูกพูดถึงเป็นครั้งแรกในรูปของแผนที่รอยเลื่อนมีพลังของแสงอาทิตย์ เชื้อวิโรจน์ (2534) ซึ่งได้ลากเส้นรอยเลื่อนเอาไว้ชัดเจนพอสมควรในพื้นที่ประเทศไทย และแบ่งรอยเลื่อนออกเป็นกลุ่มๆ ตามความต่อเนื่องและลักษณะทางธรณีวิทยา ซึ่งต่อมาก็ยังมีนักวิจัยอีกหลายคน ที่ได้นำเสนอกลุ่มรอยเลื่อนในประเทศไทยและพื้นที่ข้างเคียง เช่น Hinthong (1995) โดยได้มีการปรับเพิ่มเสริมแต่ง พัฒนากันมาเรื่อยๆ ตามแนวคิดหรือข้อมูลที่นักวิจัยแต่ละท่านมีอยู่ในมือ จนปันจุบันทำให้เราได้เห็นแผนที่รอยเลื่อนมีพลังในประเทศไทย ซึ่งศึกษาและสรุปไว้ในรูปด้านล่าง โดยจะเห็นว่ารอยเลื่อนส่วนใหญ่จะวางตัวเฉียงซ้ายเบี่ยงขวากระจายอยู่ในภาคเหนือ ภาคตะวันตกและภาคใต้ของประเทศไทย ซึ่งก็คือรอยร้าวภายในแผ่นเปลือกโลกที่เกิดจากการชนกันของแผ่นเปลือกโลกในอดีต และล่าสุดกรมทรัพยากรธรณี แบ่งกลุ่มรอยเลื่อนมีพลังในประเทศไทยออกเป็น 13 กลุ่ม เช่น กลุ่มรอยเลื่อนพะเยา ปัว เถิน อุตรดิตถ์ เมย ศรีสวัสดิ์ เจดีย์สามองค์ ระนอง คลองมะรุ่ย แม่จัน แม่ทา แม่ฮ่องสอน แม่อิง แม่… ฯลฯ
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2021/02/4-89-1-1024x833.jpg)
ส่วนกลุ่มรอยเลื่อนอื่นๆ ที่อยู่นอกประเทศ มีผู้ศึกษาเอาไว้บ้าง ได้แก่ งานวิจัยของอาจารย์ปริญญา นุตาลัย และคณะ (1985) ที่ได้นำเสนอกลุ่มรอยเลื่อนสำคัญๆ ทางภาคตะวันออกของพม่า เช่น กลุ่มรอยเลื่อนพานหลวง ตองยี ผาปูน ซึ่งถึงแม้ว่าจะไม่ใช่รอยเลื่อนสัญชาติไทย แต่เราก็ไม่ควรมองข้าม เพราะการมาของแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหว มันไม่มีพรมแดนขวางกัน
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2021/02/4-89-2-1024x857.jpg)
ต่อมา Pailoplee และคณะ (2009) ทำการแปลความหมายจากภาพถ่ายดาวเทียมชนิดต่างๆ โดยอ้างอิงรอยเลื่อนแต่ละตัวจากที่นักวิจัยท่านก่อนๆ เคยนำเสนอเอาไว้ โดยพยายามลากเส้นขึ้นมาใหม่ให้ละเอียดขึ้น ตรงตำแหน่งมากขึ้น และเพิ่มเติมบางส่วนที่ยังไม่มีใครเคยพูดถึง แต่ก็เห็นได้ชัดจากภาพถ่ายดาวเทียม โดยสภาพภูมิประเทศประหลาดๆ จากหลายพื้นที่ ซึ่งบ่งชี้ว่าหน้าตาแบบนี้คือรอยแตกหรือรอยเลื่อนแสดงตัวอย่างดังรูป
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2021/02/4-89-4-789x1024.jpg)
หมายเลข 1 ในรูป เป็นภาพจาก Google Earth ที่ถ้าผู้อ่านเข้าไปเปิดดูแถวจังหวัดเชียงใหม่ ก็จะเห็นรอยบากยาวเหมือนวงพระจันทร์บนหน้าเปาบุ้นจิ้น พาดตลอดแนวเทือกเขาทางตะวันออกของเชียงใหม่ ส่วนหมายเลข 2 เห็นได้ชัดว่าแนวเทือกเขาตอนกลางของพม่านั้นมีเส้นคมๆ ลากยาวจากเหนือจรดใต้พาดผ่านกลางประเทศ ส่วนหมายเลข 3 เป็นภาพถ่ายดาวเทียมแลนด์แสท แสดงภูมิประเทศแบบผาสามเหลี่ยม ทอดยาวทางตะวันออกของ จังหวัดน่าน
นอกจากนี้ ในบางพื้นที่ Pailoplee และคณะ (2009) แปลความรอยเลื่อนจากข้อมูลพื้นฐานที่เรียกว่า แบบจำลองระดับสูงเชิงเลข (Digital Elevation Model : DEM) ซึ่งผลการแปลความตรวจพบรอยเลื่อนเพิ่มเติมจากภาพถ่ายดาวเทียมในบางส่วน และส่วนใหญ่ช่วยยืนยันผลการแปลความหมายรอยเลื่อนจากภาพถ่ายดาวเทียมได้เป็นอย่างดี
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2021/02/4-89-5-976x1024.jpg)
เห็นเส้นยุบยับๆ ในรูป เป็นผลการแปลส่วนที่คาดว่าหนังหน้าโลกมีการแตก หรือ รอยเลื่อน (fault) แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันเป็นรอยเลื่อนที่จะเกิดแผ่นดินไหวในทุกๆ เส้น ทั้งนี้ก็เพราะหลายเส้นในรูปยังไม่ได้มีการขุดเพื่อพิสูจน์ประวัติความเป็นมาว่าเคยเลื่อนหรือดุแค่ไหน ดังนั้น Pailoplee และคณะ (2009) จึงให้คำนิยามเส้นที่เห็นในรูปด้านล่างว่าเป็น รอยเลื่อนที่มีโอกาสมีพลัง (possible active fault) ซึ่งก็ยังไม่น่าไว้วางใจ
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2021/02/4-89-3-1024x672.jpg)
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2019/09/4-62-0-1024x536.jpg)
ชื่อและรายละเอียดของกลุ่มรอยเลื่อนที่ลากเอาไว้ในรูป Pailoplee และคณะ (2009) สรุปไว้ในตาราง ซึ่งก็คงโต้รุ่ง ซอดแจ้งแน่ๆ ถ้าจะให้เล่ากันทีละตัว จึงขอแนะนำให้รู้จักมักคุ้นกันแค่บางตัวพอเป็นกระสัย ตัวที่เด่นๆ เลยก็หมายเลข 45 เขตมุดตัวของเปลือกโลกสุมาตรา-อันดามัน ซึ่งเป็นรอยชนกันของยูเรเซียกับแผ่นอินโด-ออสเตรเลีย ตัวนี้สำคัญเพราะถ้าเป็นสถานะในครอบครัว ตัวนี้ก็เรียกว่า “ตัวพ่อ” ถ้าเป็นเรื่องธรณีแปรสัณฐานก็เป็นขอบของแผ่นเปลือกโลก ใหญ่ไม่ใหญ่ก็เคยปล่อย 9.0 มาให้ชมเป็นขวัญตามาแล้ว ถือเป็นแผ่นดินไหวที่ใหญ่อันดับ 3 ของโลกที่เคยมีการบันทึกไว้ จะเป็นรองก็แค่แผ่นดินไหวที่ชิลีขนาด 9.6 และแผ่นดินไหว 9.2 ที่เคยเกิดขึ้นที่รัฐอลาสกา สหรัฐอเมริกา ก็เท่านั้น
ส่วนรอยเลื่อนสัญชาติไทย ที่น่ากลัวที่สุดตามความเห็นของผู้เขียนคือ หมายเลข 19 กลุ่มรอยเลื่อนแม่จัน เพราะดูจากลักษณะภูมิประเทศ ดูเหมือนว่ารอยเลื่อนนี้จะคมชัดมากที่สุด ซึ่งนั่นหมายถึงถ้าไม่เกิดแผ่นดินไหวบ่อยๆ ก็ต้องเกิดมาใหม่ๆ เพราะถ้าอยู่มานานหรือว่าไม่ค่อยเคลื่อนตัว เหลี่ยมคมก็คงโดนลูบโดนลบไปบ้างจากกระบวนการผุพังตามธรรมชาติ ถัดมาที่ผู้เขียนคิดว่าไม่ควรมองข้าม ก็คือ กลุ่มรอยเลื่อนศรีสวัสดิ์ (หมายเลข 44) และกลุ่มรอยเลื่อนเจดีย์สามองค์ (หมายเลข 49) เพราะประวัติการเพาะพันธ์แผ่นดินไหวก็มีโชกโชน ไม่ธรรมดา
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2020/08/4-66-2-1024x1022.jpg)
วกกลับมาที่ตาราง ตัวเลขหลายตัวที่ใส่ไว้ให้ในตาราง เป็นตัวเลขที่ Pailoplee และคณะ (2009) วิเคราะห์และสรุปเอาไว้ เพื่อสื่อถือความดุ ของรอยเลื่อนแต่ละตัวได้เป็นอย่างดี นอกจาก “ชื่อรอยเลื่อน” ที่ได้มาจากแหล่ง “อ้างอิง” ต่างๆ ที่แนบไว้ตอนท้าย ตาราง ยังได้บอกถึง “ชนิดรอยเลื่อน” หรือพฤติกรรมการเลื่อนตัวเอาไว้ด้วย “อัตราการเลื่อนตัว” ก็เป็นอีกค่าหนึ่งที่สำคัญสำหรับผู้ที่สนใจจะเอาไปใช้ใน การประเมินภัยพิบัติแผ่นดินไหว (seismic hazard analysis, SHA) ส่วน “ขนาดสูงสุด2” หมายถึง ขนาดแผ่นดินไหวที่เคยเกิดและบันทึกไว้ได้จากเครื่องมือตรวจวัดซึ่งตั้งมาประมาณ 40-50 ปี ส่วน “ขนาดสูงสุด1” เป็นขนาดที่ประเมินจากความยาวของรอยเลื่อน (Well และ Coppersmith, 1994)
ที่มาที่ไปก็เนื่องมาจากในอดีตเมื่อเกิดแผ่นดินไหว นักแผ่นดินไหวจะวัดและเก็บข้อมูลความยาวรอยแตกที่โผล่ให้เห็นบนพื้นผิว และเก็บข้อมูลขนาดแผ่นดินไหวที่ประเมินได้จากเครื่องมือวัด นานวันเข้านักแผ่นดินไหว (Well และ Coppersmith, 1994) จึงได้เอาข้อมูลพวกนี้มาหาความสัมพันธ์ และคิดย้อนกลับว่าถ้าความยาวรอยเลื่อนขนาดนี้ แผ่นดินไหวสูงสุดที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้จะใหญ่ขนาดไหน เพราะแนวคิดในปัจจุบันเชื่อว่า ยากที่รอยเลื่อนจะปริแตกไปเกินกว่าความยาวที่มีอยู่ (แต่ก็มีให้เห็นอยู่บ้างน้อยกรณีที่แตกลั่นไปต่อกับรอยเลื่อนที่อยู่ใกล้เคียง อย่างในกรณีของ แผ่นดินไหวขนาด 9.0 ที่ ภูมิภาคโทโฮคุ (Tohoku) ทางเหนือของ เกาะฮอนชู (Honshu) ประเทศญี่ปุ่น)
จากตาราง จะเห็นได้ว่าถึงแม้ขนาดแผ่นดินไหวในแต่ละรอยเลื่อนที่เคยบันทึกได้จากเครื่องมือตรวจวัด จะมีค่าน้อยกว่าผลการประเมินขนาด จากความยาวของรอยเลื่อน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าการประเมินจากความยาวนั้นผิด แต่ติดตรงที่เครื่องมือตรวจวัดนั้นเริ่มติดตั้งช้าเกินไป ช้ากว่าที่นิสัยลึกๆ ของรอยเลื่อนจะโผล่ออกมาให้เห็น ดังนั้นไม่ใช่มันจะต้องเกิดตามตัวเลข “ขนาดสูงสุด1” แต่ว่าถ้ามันจะเกิดได้สูงที่สุดก็มีขนาดเท่า “ขนาดสูงสุด1” นี่แหละครับ…ไม่ขาดไม่เกิน
และทั้งหมดนี้ ก็คือ 30 ปี ที่มีการศึกษารอยเลื่อนมีพลังในประเทศไทย ขาดตกบกพร่องกระการใด เรียนเชิญกูรูทักหลังไมค์มาเพิ่มเติมกันได้นะครับ 🙂
ลำดับ | ชื่อรอยเลื่อน | ชนิดรอยเลื่อน | ความยาว (กม.) | ขนาดสูงสุด1 | ขนาดสูงสุด2 | อัตราเลื่อนตัว (มม./ปี) | อ้างอิง |
1 | ชาวบาง-เทียนเยน | S | 287 | 7.9 | 5.4 | – | Cuong และคณะ (2006) |
2 | เชียงราย | S | 28 | 6.8 | 5.5 | – | Pailoplee และคณะ (2009) |
3 | ชองชาน | S | 298 | 8.0 | 6.1 | 5.00 | Akciz และคณะ (2008) |
4 | เดียนเบียนฟู | S | 130 | 7.5 | 6.9 | 2 | Zuchiewicz และคณะ (2004) |
5 | ดองตริว | S,N | 187 | 7.7 | 5.4 | – | Charusiri และคณะ (2002) |
6 | เกาลิกงชาน | S | 407 | 8.1 | 7 | 5.00 | Akciz และคณะ (2008) |
7 | แสนหวี-นานติง | S | 359 | 8.0 | 5.4 | 1.00 | Lacassin และคณะ (1998) |
8 | จิงหง | S | 53 | 7.1 | 5.7 | – | Lacassin และคณะ (1998) |
9 | คาวตวง | – | 36 | 6.9 | 6.2 | – | Pailoplee และคณะ (2009) |
10 | คลองมะรุ่ย | S | 29 | 6.8 | 6.2 | 0.10 | Wong และคณะ (2005) |
11 | กุงยาอุนเกล | S | 25 | 6.7 | 6.2 | 4.00 | Wong และคณะ (2005) |
12 | ลำปาง-เถิน | S,N | 28 | 6.8 | 5.3 | 0.83 | Charusiri และคณะ (2004) |
13 | ลาเชียว | S | 50 | 7.0 | 6.2 | 1.00 | Lacassin และคณะ (1998) |
14 | วังเหนือ | – | 31 | 6.8 | 5.3 | – | Pailoplee และคณะ (2009) |
15 | ลินฉาง | – | 107 | 7.4 | 7.4 | – | Lacassin และคณะ (1998) |
16 | เลย-เพชรบูรณ์ | S | 59 | 7.1 | 5.5 | – | Lepvrier และคณะ (2004) |
17 | ลองลิง-รุยลิ | S | 70 | 7.2 | 7 | 5.00 | Bai และ Meju (2003) |
18 | แม่แจ่ม | – | 21 | 6.6 | 5.8 | – | Pailoplee และคณะ (2009) |
19 | แม่จัน | S | 99 | 7.4 | 6.6 | 3.00 | Fenton และคณะ (2003) |
20 | แม่ฮ่องสอน-ตาก | S | 37 | 6.9 | 6.2 | – | Charusiri และคณะ (2004) |
21 | แม่อิง | S | 38 | 6.9 | 6.6 | – | Fenton และคณะ (2003) |
22 | แม่ทา | S | 47 | 7.0 | 5.8 | 0.8 | Rhodes (2004) |
23 | แม่ยม | S | 22 | 6.6 | 3 | 0.8 | Charusiri และคณะ (2004) |
24 | เม็งเจรียน | S | 117 | 7.5 | 7.1 | 0.50 | Lacassin และคณะ (1998) |
25 | เม็งซิง | S | 75 | 7.3 | 6.4 | 4.80 | Lacassin และคณะ (1998) |
26 | เมย-ตองยี | S | 259 | 7.9 | 6.2 | 0.73 | Pailoplee และคณะ (2009) |
27 | น้ำมา | S | 177 | 7.7 | 5.9 | 2.40 | Morley (2007) |
28 | น้ำเป็ง | S | 51 | 7.1 | 5.6 | – | Charusiri และคณะ (1999) |
29 | เซียนชุย | S | 505 | 8.2 | 8.5 | 15.00 | Eleftheria และคณะ (2004) |
30 | ผาปูน | S | 143 | 7.6 | 6.2 | – | Nutalaya และคณะ (1985) |
31 | พานหลวง | S | 219 | 7.8 | 5.5 | – | Nutalaya และคณะ (1985) |
32 | พะเยา | S,N | 20 | 6.6 | 5.5 | 0.10 | Fenton และคณะ (2003) |
33 | แพร่ | S | 28 | 6.8 | 5.3 | 0.10 | Fenton และคณะ (2003) |
34 | ปัว | N | 29 | 6.8 | 5 | 0.60 | Fenton และคณะ (2003) |
35 | เคียวหู | – | 145 | 7.6 | 5.9 | – | Lacassin และคณะ (1998) |
36 | ระนอง | S | 46 | 7.0 | 6.2 | 1.00 | Wong และคณะ (2005) |
37 | แม่น้ำแดง | S | 812 | 8.5 | 5.6 | 4.00 | Duong และ Feigl (1999) |
38 | สะกาย-สุมาตรา | S | 958 | 8.5 | 7.5 | 23.00 | Bertran และ Rangin (2003) |
39 | ฉาน | S | 66 | 7.2 | 6 | – | Pailoplee และคณะ (2009) |
40 | แม่น้ำคา | S | 225 | 7.8 | 5.3 | – | Takemoto และคณะ (2005) |
41 | แม่น้ำเช | S,N | 55 | 7.1 | 5.8 | 2.00 | Cuong และ Zuchiew (2001) |
42 | แม่น้ำดา | S | 46 | 7.0 | 5.7 | – | Phoung (1991) |
43 | แม่น้ำมา | S | 72 | 7.2 | 6.9 | – | Phoung (1991) |
44 | ศรีสวัสดิ์ | S | 43 | 7.0 | 6.5 | 2 | Charusiri และคณะ (2004) |
45 | เขตมุดตัวของเปลือกโลกสุมาตรา-อันดามัน | R | 3388 | 9.2 | 9 | 47.00 | Paul และคณะ (2001) |
46 | ทวาย | S | 32 | 6.8 | 4 | – | Wong และคณะ (2005) |
47 | เทนาสสริม | S | 50 | 7.0 | 6.2 | 4.00 | Wong และคณะ (2005) |
48 | ท่าแขก | S | 250 | 7.9 | 5.8 | – | DMR (2006) |
49 | เจดีย์สามองค์ | S | 141 | 7.6 | 6.5 | 2.00 | Fenton และคณะ (2003) |
50 | อุตรดิตถ์ | S | 27 | 6.7 | 5.6 | 0.10 | Fenton และคณะ (2003) |
51 | วันนาออน | – | 69 | 7.2 | 5.6 | – | Pailoplee และคณะ (2009) |
52 | วันดิง | S | 199 | 7.7 | 6.5 | 1.90 | Morley (2007) |
. . .
บทความล่าสุด : www.mitrearth.org
เยี่ยมชม facebook : มิตรเอิร์ธ – mitrearth