![](https://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2019/07/18-2-0-750x375.jpg)
หินแปร-หินที่เปลี่ยนแค่หน้าตา แต่องค์ประกอบรวมยังเหมือนหินดั้งเดิม
หินแปร (metamorphic rock) คือหิน1 ใน 3 ชนิดหินหลักๆ (อัคนี ตะกอน แปร) เกิดจากความดันหรืออุณหภูมิเข้ามากระทำกับหินดั้งเดิมอะไรก็ได้ จนทำให้มีหน้าตาหรือการจัดเรียงตัวของแร่ภายในหินเปลี่ยนไป แต่ยังคงมีองค์ประกอบหรือสัดส่วนโดยรวมของแร่เหมือนกับ หินเดิมดั้งเดิม (potolith) ทุกประการ นักธรณีวิทยาจำแนกกินแปรตามลักษณะโครงสร้างหรือเนื้อหินได้ 2 ชนิด คือ หินแปรริ้วลาย และ หินแปรไร้ริ้วลาย
หินแปรริ้วลาย
หินแปรริ้วลาย (foliated metamorphic rock) หมายถึง หินแปรที่มีลักษณะการจัดเรียงตัวของแร่หรือเนื้อหินไปในแนวหนึ่งแนวใดโดยเฉพาะและเห็นได้ชัด หินแปรชนิดนี้โดยส่วนใหญ่แปรสภาพจาก กระบวนการแปรสภาพหินบริเวณไพศาล (regional metamorphism) ซึ่งมีผลมาจากความดันเป็นหลัก โดยหินแปรริ้วรายแบ่งย่อยออกเป็น 5 ชนิด คือ
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2019/08/18-2-1-1024x666.jpg)
1) หินชนวน
หินชนวน (slate) หรือ หินกาบ เกิดจากการแปรสภาพเกรดต่ำ ของหินตะกอนเดิมที่มีเม็ดตะกอนเล็กและมีแร่ดินจำนวนมาก เช่น หินดินดาน หินโคลนหรือหินทรายแป้ง โดยหินชนวนมีหลายสี ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบของหินเดิม เช่น สีดำมาจากกลุ่มแร่คาร์บอเนต สีเขียวมาจากกลุ่มแร่ครอไรท์ ส่วนสีแดงมาจากเหล็กออกไซด์ ซึ่งหินชนวนจะมีรอยแตกบางๆ ตั้งฉากกับแนวแรงที่บีบอัด เรียกว่า รอยแตกเรียบหินชนวน (slaty cleavage) ซึ่งเกิดจากการเรียงตัวเป็นแผ่นของกลุ่มแร่ไมกา เช่น แร่ดิน มัสโคไวต์ และแร่ไบโอไทต์ เป็นต้น
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2019/09/18-2-2-1024x360.jpg)
2) หินฟิลไลต์
หินฟิลไลต์ (phyllite) ยังคงเป็นหินแปรเกรดต่ำ ที่ถูกพัฒนาการแปรสภาพอย่างต่อเนื่องมาจากหินชนวนเมื่อได้รับอุณหภูมิสูงขึ้น มีผิวหน้าเรียบเป็นมันขาวกว่าหินชนวน เนื่องจากมีการเรียงตัวของแร่กลีบหินชัดเจนขึ้น โดยรอยแตกมีลักษณะเป็น คลื่นลอน (wavy surface) ต่างจากหินชนวนซึ่งเป็นแผ่นเรียบ
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2019/09/18-2-3-1024x562.jpg)
3) หินชีสต์
หินชีสต์ (schist) เป็นหินแปรเกรดปานกลาง ที่ถูกแปรสภาพอย่างต่อเนื่องมาจากหินฟิลไลต์ มีการเพิ่มขนาดของเม็ดแร่ จนแร่แผ่นมองเห็นด้วยตาเปล่า วางตัวเป็นแนวขนานกันเรียกสภาพเรียงตัวของแร่แบบ แนวแตกหินชีสต์ (schistosity) มีลักษณะเป็นคลื่น ซึ่งเกิดจากการเรียงตัวของแร่ไมกาและรวมตัวกันมากขึ้นเนื่องจากอุณหภูมิ
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2019/08/18-2-5-1024x385.jpg)
4) หินไนส์
หินไนส์ (gneiss) เป็นหินแปรเกรดสูง กลุ่มแร่ต่างๆ แยกกันเป็นแถบไม่ต่อเนื่อง (gneissosity หรือ gneissic band) โดยมีการสลับกันระหว่างแร่สีเข้ม (แร่ไบโอไทต์หรือแร่แอมฟิโบล) และสีจาง (แร่ควอตซ์และแร่เฟลด์สปาร์) และมีผลึกหยาบกว่าหินชีสต์ซึ่งมองเห็นด้วยตาเปล่า เกิดจากการจัดเรียงตัวกันใหม่ของแร่ภายใต้แรงเค้นที่อยู่ในสภาพอุณหภูมิสูง บางครั้งแถบไม่ต่อเนื่องของหินไนส์มีรูปร่างเหมือนกับดวงตา เรียกว่า หินออเกนไนสซ์ (organs gneiss)
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2019/09/18-2-6-1024x356.jpg)
นอกจากนี้ นักวิทยาศาสตร์ยังแบ่งย่อยหินไนส์จากชนิดของหินเดิมดั้งเดิม ออกเป็น 2 ชนิดคือ หินไนส์ที่แปรสภาพมาจากหินอัคนี เรียกว่า หินไนส์อัคนี (orthogneiss) และหินไนส์ที่แปรสภาพมาจากหินตะกอน เรียกว่า หินไนส์ตะกอน (paragneiss)
หินมิกมาไทต์
หินมิกมาไทต์ (migmatite) หมายถึง หินที่ประกอบด้วยหินแกรนิตและหินไนส์ รวมอยู่ด้วยกัน เกิดจากระดับอุณหภูมิและความดันนั้นเกินขอบเขตการแปรสภาพ ทำให้เกิดการหลอมละลายบางส่วนของแร่สีขาวเป็นส่วนใหญ่และสีดำบางส่วน โดยหินมิกมาไทต์เกิดได้ 2 กรณี คือ 1) หินเดิมเป็นหินแกรนิตและบางส่วนถูกแปรสภาพกลายเป็นหินหินไนส์ใหม่อยู่ร่วมกับหินแกรนิตเดิม หรือ 2) หินเดิมเป็นหินไนส์และเกิดการหลอมลายบางส่วนเป็นหินแกรนิตใหม่อยู่ร่วมกับหินไนส์เดิม
หินมิกมาไทต์ (migmatite) ถือเป็นขอบเขตสูงที่สุดของการแปรสภาพหิน และเป็นหินที่แสดงถึงความไม่คงที่ของอุณหภูมิในการแปรสภาพหินในพื้นที่นั้น
หินแปรไร้ริ้วลาย
หินแปรไร้ริ้วลาย (non-foliated metamorphic rock) คือ หินแปรที่ไม่แสดงการจัดเรียงตัวของแร่ไปในแนวใดที่ชัดเจน โดยส่วนใหญ่เป็นแร่ที่มีลักษณะเป็นเม็ดกลม เกิดจากผลึกแร่ที่ตกผลึกใหม่เกาะประสานยึดเกี่ยวกัน โดยส่วนใหญ่เกิดจาก การแปรสภาพแบบสัมผัส (contact metamorphism) โดยหินไร้แปรริ้วรายแบ่งย่อยออกเป็น 4 ชนิด คือ
1) หินควอร์ตไซต์
หินควอร์ตไซต์ (quartzite) มีเนื้อหยาบและไม่แสดงริ้วลาย โดยส่วนใหญ่มีสีขาวถึงสีน้ำตาล ประกอบด้วยแร่ควอตซ์ที่ตกผลึกใหม่ เม็ดแร่โดยส่วนใหญ่หลอมละลายและเชื่อมประสานกัน หินเดิมโดยส่วนใหญ่เป็น หินทรายสะอาด (orthoquartzite)
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2019/09/18-2-7-1024x538.jpg)
2) หินอ่อน
หินอ่อน (marble) มีหินต้นกำเนิดมาจากหินปูน ประกอบด้วยแร่แคลไซต์ที่ตกผลึกใหม่ เกิดขึ้นได้ทั้งจาก การแปรสภาพบริเวณไพศาล (regional metamorphism) และ การแปรสภาพแบบสัมผัส (contact metamorphism) ซึ่งหินอ่อนจะมีหลายสี ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบเดิมของหิน เช่น สีขาว เทา เทาเข้ม เทาปนน้ำตาลหรือปนชมพู จนถึงสีเทาดำ
ในกรณีที่ หินปูนมีหินดินดานแทรกสลับชั้นอยู่ (argillaceous limestone) และถูกแปรสภาพแบบสัมผัส หินแปรที่เกิดจากหินปูนในลักษณะนี้ เรียกว่า หินคัลซิลิเกต (calc-silicate rock)
3) หินฮอนเฟลส์
หินฮอนเฟลส์ (hornfels) เป็นหินแปรที่มีเนื้อละเอียด ขอบคม แข็งแน่น โดยส่วนใหญ่มีสีดำจนถึงสีน้ำตาล พบอยู่ใกล้แนวสัมผัสกับหินอัคนี โดยส่วนใหญ่เกิดจาก การแปรสภาพแบบสัมผัส (contact metamorphism) มาจากหินดินดานหรือหินโคลน
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2019/09/18-2-8-1024x486.jpg)
4) หินแอมฟิโบไลต์
หินแอมฟิโบไลต์ (amphibolite) เป็นหินที่ประกอบด้วยแร่ฮอนเบลนด์และพลาจิโอเคลส โดยส่วนใหญ่เกิดจาก การแปรสภาพแบบสัมผัส (contact metamorphism) มาจากหินอัคนี เช่น หินบะซอลต์หรือแกรบโบ มีเนื้อแน่น ไม่ค่อยพบแนวรอยแตก
. . .
บทความล่าสุด : www.mitrearth.org
เยี่ยมชม facebook : มิตรเอิร์ธ – mitrearth