![](https://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2019/07/4-67-0-750x375.jpg)
เกริ่นกันก่อน ตะพักแม่น้ำ
เกริ่นก่อนจะเข้าเรื่อง แผ่นดินไหว สืบเนื่องจากบทความ : ชนิดและภูมิลักษณ์ของธารน้ำ ผลจากการกวัดแกว่งของ ธารน้ำโค้งตวัด (meandering stream) หินแข็งที่เคยอยู่ริมธารน้ำจะถูกกัดกร่อนและเกิดการทับถมตะกอนซ้ำแล้วซ้ำเล่าไปทั่วทุกพื้นที่ที่ธารน้ำเคยตวัดไปถึง ทำให้เกิดภูมิประเทศเป็นที่ราบครอบคลุมพื้นที่กว้างขนาบไปตามธารน้ำที่เรียกกันติดปากว่า ที่ราบน้ำท่วมถึง (flood plain) ซึ่งหากมองในภาพตัดขวางของร่องน้ำ จะพบว่าร่องน้ำโค้งตวัดนี้ จะมีความกว้างโดดเด่นกว่าความลึก หรือมีรูปร่างคล้ายกับตัว U ในภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นผลมาจากการกวัดแก่งหรือการกัดกร่อนในแนวด้านข้างเด้นๆ ของธารน้ำ บางครั้งจึงเรียกว่า ร่องน้ำรูปตัวยู (U-shape channel)
![](https://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2019/12/8-3-4.jpg)
นอกจากนี้ ในบางครั้งพื้นที่ตามลำน้ำโค้งตวัด อาจมีการเปลี่ยนระดับพื้นดินจากกระบวนการธรณีแปรสัณฐาน ทำให้เกิดการยกตัว (uplift) ของแผ่นดินเป็นบริเวณกว้าง ทำให้ระดับท้องน้ำของธารน้ำโค้งตวัดอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลปานกลาง น้องน้ำจึงต้องเปลี่ยนพฤติกรรมมากัดกร่อนในแนวดิ่งอีกครั้ง คล้ายกับการกัดกร่อนของลำน้ำบริเวณต้นน้ำหรือบนภูเขา จนทำให้ธารน้ำโค้งตวัดนั้นลึกลง จากนั้นเมื่อระดับท้องน้ำใกล้เคียงกับระดับน้ำทะปานกลาง น้ำจะกลับมากวัดแกว่งและกัดกร่อนในแนวราบอีกครั้ง ซึ่งผลจากกระบวนการปรับระดับของพื้นที่และพฤติกรรมการกัดกร่อนของน้ำนี้ ทำให้เกิดลักษณะภูมิประเทศเป็นตะพัก เรียกกันอีกแบบว่า ตะพักแม่น้ำ (river terrace)
![](https://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2021/01/8-3-12.jpg)
อะไรคือ ตะพักทะเล
รู้จักตะพักแม่น้ำกันไปแล้ว คราวนี้เรามาทำความรู้จักตะพักทะเลกันบ้าง ว่าหน้าตามันจะเป็นยังไง มันจะแค่เค็มขึ้นกว่าตะพักแม่น้ำไหม จริงๆแล้ว ภูมิลักษณ์ (landform) ที่เราเรียกกันว่า ตะพักทะเล (marine terrace) ก็เพราะว่าหน้าตาหรือภูมิลักษ์ดังกล่าว มีรูปร่างเป็นตะพักๆ คล้ายกับ ตะพักแม่น้ำ เพียงแต่ว่า ตะพักทะเลจะเกิดบริเวณริมชายฝั่ง และเกิดจากการกัดกร่อนของคลื่นน้ำทะเลที่ซัดเข้าฝั่งเป็นหลัก
![](https://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2019/07/4-67-0-1024x536.jpg)
แม้ในทางธรรมชาติ กระบวนการเกิดตะพักทะเลก็ไม่ใช่ว่าจะเกิดกันได้ง่ายๆ เพราะเราก็ไม่ค่อยจะเห็นกันบ่อยๆ ตามชายหาดทั่วไป โดยเฉพาะในประเทศไทยบ้านเรา ซึ่งพื้นที่ที่จะเกิดตะพักทะเลได้ จะต้องเป็นพื้นที่ที่มีการทำงานร่วมกันของกระบวนการของโลก ระหว่าง 1) กระบวนการยกตัวของพื้นที่ตามชายฝั่ง และ 2) กระบวนการกัดกร่อนริมชายฝั่งอันเนื่องมาจากคลื่นน้ำทะเล ซึ่งกระบวนการกัดร่อนริมชายฝั่งก็มีติดตัวกันอยู่แล้วทั่วทุกหัวหาด แต่ก็ใช่ว่าทุกๆ หาดจะมีการยกตัวของพื้นที่กันทั้งหมด การที่พื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งจะสามารถยกตัวอย่างทันทีทันใดขึ้นมาได้นั้น สัญญาณบอกเหตุก็ไม่ใช่อะไรอื่นไกล เพราะการยกตัวของพื้นที่ส่วนใหญ่ มักจะเกิดร่วมกับ เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ในหลายๆ ครั้ง
ปรากฏการณ์ ยก-ยุบ ของพื้นดิน
เรื่องของเรื่องคือในทาง ธรณีแปรสัณฐาน (tectonic) เมื่อมีการเคลื่อนที่ชนกัน แผ่นเปลือกโลกจะไม่สามารถเคลื่อนผ่านกันไปได้แบบลื่นปรื๊ด ลื่นปรื๊ด แต่จะมีการล๊อคหรือติดขัดกันบ้างในบางจังหวะ ทำให้ตลอดเวลาที่แผ่นเปลือกโลกวิ่งเข้ามาชนและมุดเกยกัน บริเวณสุดขอบของแผ่นเปลือกโลกจะถูกกดหัวจมดิ่งลง ในขณะที่พื้นที่ถัดเข้ามาด้านในของแผ่นเปลือกโลกก็จะมีการโก่งตัวยกสูงขึ้นเรื่อยๆ พร้อมทั้งสะสมแรงเค้นทางธรณีแปรสัณฐาน (tectonic stress) เอาไว้ตลอดเวลา ซึ่งอาจต้องใช้เวลาเป็น 1,000-10,000 ปี หรือมากกว่านั้น
![](https://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2019/09/4-27-1.jpg)
บริเวณขอบของแผ่นเปลือกโลกที่ถูกกดหัวให้จมดิ่งลง ซึ่งจะลึกกว่าพื้นมหาสมุทรทั่วไป เรียกว่า ร่องลึกมหาสมุทร (trench)
จวบจนกระทั่งแรงเค้นที่สะสมไว้นั้นมากเกินพอ แผ่นเปลือกโลกทนต่อไปไม่ไหวจึงดีดดึ๋งและทำให้ 1) เกิดการปริแตกของแผ่นเปลือกโลก 2) เกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ (เพราะสะสมแรงเค้นไว้เยอะมานาน) 3) อาจเกิด สึนามิ (ถ้ามีการเลื่อนตัวในแนวดิ่ง) และที่สำคัญ 4) เกิดการลื่นไถลของแผ่นเปลือกโลกและมีการปรับระดับของพื้นโลกในแถบๆ นั้นอย่างฉับพลันในทันที
ดังนั้นแทบจะทุกครั้งเมื่อเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ตาม เขตมุดตัวของแผ่นเปลือกโลก (subduction zone) ผลจากการลื่นไถลของแผ่นเปลือกโลก จะทำให้ 1) ส่วนที่เคยถูกกดหัวมานานก็ยกตัวโผล่พ้นน้ำได้บ้าง และ 2) ส่วนที่เคยยกตัวก็ทรุดต่ำลงสู่สภาพเดิมอย่างที่เคยเป็นเมื่อนานนนมาแล้ว ซึ่งหากมองในมุมภัยพิบัติพื้นที่ส่วนที่ส่วนที่ทรุดลงไปอาจทำให้น้ำหลากเข้าท่วมขังแผ่นดินเดิมได้…แบบถาวร ในขณะที่บริเวณที่ยกตัวหากส่งผลใกล้ๆ ชายฝั่ง ก็จะทำให้เกิดพื้นแผ่นดินใหม่งอกเพิ่มออกไปในทะเล (ฝั่งยกตัวขึ้น)
เพิ่มเติม : การปรับระดับพื้นโลก-ภัยพิบัติระยะยาวจากแผ่นดินไหว
ตัวอย่าง ยก-ยุบ หลังแผ่นดินไหวใหญ่
แผ่นดินไหว 9.0 ที่เกาะสุมาตรา เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2547 เป็นผลมาจากแผ่นเปลือกโลกอินโด-ออสเตรเลีย มุดและล๊อคตัวกันอยู่นานกับแผ่นยูเรเซีย ซึ่งนอกจากแรงเค้นที่เพิ่มมากขึ้น พื้นที่แถบเกาะสุมาตราก็ยกตัวขึ้นมาเรื่อยๆ เช่นกัน จนกระทั่งเมื่อเกิดแผ่นดินไหวขนาด 9.0 พื้นที่ในแถบนั้นจึงเกิดการปรับเปลี่ยนระดับของพื้นโลกขนานใหญ่ ผลจากการสำรวจในภาคสนาม ประกอบกับการคำนวณทางคณิตศาสตร์ Tanioka และคณะ (2006) ยืนยันว่าหลังจากเกิดแผ่นดินไหวในครั้งนั้น รอบตัวเมืองบันดา อาเจะห์ ยุบลงจากระดับเดิม 20-60 เซนติเมตร ส่วนชายฝั่งทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองยุบกว่า 1 เมตร ทำให้บางพื้นที่นั้นถูกรุกล้ำด้วยน้ำทะเล ต้นไม้ที่เคยเติบโตอยู่บนแผ่นดิน (ในอดีต) ก็ยืนต้นรอวันตายอยู่ริมชายหาด (ในปัจจุบัน) ในขณะที่บ้านริมทะเลบนเกาะนิโคบาร์ก็กลายเป็นบ้านกลางน้ำไปในทันที
นอกจากนี้ที่บริเวณเกาะซิมิวลู (Simeulue) ซึ่งอยู่ใกล้กับแนวการมุดตัวกลับพบหลักฐานการยกตัวสูงถึง 1.5 เมตร (Tanioka และคณะ, 2006) ส่วนชายฝั่งของเกาะนีอาส (Nias) นั้นสูงขึ้นกว่า 2.5 เมตร ทำให้เกิดพื้นที่ใหม่ที่เต็มไปด้วยซากปะการังที่ถูกยกตัวขึ้นมา
![](https://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2019/09/4-27-6.jpg)
อีก 1 ตัวอย่างที่แสดงการยก-ยุบ ของพื้นที่อย่างเห็นได้ชัด คือ สภาพชายฝั่งทะเลของประเทศชิลีที่ถูกถ่ายไว้ก่อนและหลังจากเกิดแผ่นดินไหวขนาด 8.8 เมื่อวันที่ 27 เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 โดยมีศูนย์กลางอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก ห่างจากชายฝั่งชีลีออกไปประมาณ 6 กิโลเมตร ผลจากแผ่นดินไหวในครั้งนั้น ทำให้เกิดสึนามิและมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 500 คน ส่วนการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ ก็ส่งผลให้ชายฝั่งส่วนหน้าหาดยกตัวสูงขึ้นจากเดิมกว่า 2.5 เมตร กลายเป็นหาดหินที่งอกทอดยาวออกไปในทะเลกว่า 500 เมตร จากหน้าหาดเดิม และพื้นที่ส่วนที่ถัดเข้าไปในแผ่นดินด้านหลังหาดก็มีการทรุดตัวไปกว่า 1 เมตร
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2022/01/4-67-3-1024x327.jpg)
ทะเลก็มีเขี้ยว
แจ้งกันให้ทราบเลยว่าโดยธรรมชาติ คลื่นน้ำทะเลจะมีเขี้ยวมีเล็บ หรือมีแรงกัดเซาะ เฉพาะบริเวณ คลื่นหัวแตก (surf break) หรือเรียกภาษาชาวบ้านให้เห็นภาพคือ คลื่นแตกฟองฟู่ ที่เราเห็นบริเวณริมชายฝั่ง ในขณะที่ที่ระดับน้ำลึกลงไป คลื่นจะไม่มีแรงมากพอที่จะกัดเซาะอะไรได้ ดังนั้น หลังจากมีการยกตัวบริเวณริมชายฝั่ง คลื่นหัวแตกก็จะเริ่มกระบวนการกัดกร่อนหินบริเวณรอยต่อระหว่างบกกับทะเล และขีดข่วนขอบรอยต่อ ณ ห้วงเวลานั้นๆ เอาไว้ และเมื่อเกิดแผ่นดินไหวใหญ่อีกครั้ง พื้นที่ยกอีกรอบ ขอบบกทะเลก็จะเปลี่ยนแนวใหม่ และถูกขีดรอยไว้จากเขี้ยวของคลื่นทะเลอีกเข่นเดิม กลายเป็น ตะพักทะเล ลดหลั่นระดับกันเป็นตะพักๆ ริมฝั่ง ดังนั้นจำนวนตะพักที่นับได้บริเวณริมชายฝั่ง จึงเทียบเคียงได้กับจำนวนการยกตัวของพื้นที่ หรือ จำนวนการเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในพื้นที่นั้นๆ
![](https://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2021/02/4-67-2-1024x538.jpg)
การสืบหาแผ่นดินไหวใหญ่จากตะพักทะเล
จากอาการยกและยุบของแผ่นดิน หรือ ตะพักทะเล (marine terrace) ของจริงที่เห็นกันในปัจจุบัน นักแผ่นดินไหวสามารถนำมาใช้เป็นกุญแจสำคัญ สืบหาประวัติการเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ๆ ได้ ตัวอย่างเช่น McSaveney และคณะ (2006) ได้สำรวจชายฝั่งทางตอนใต้ของเกาะเหนือในประเทศนิวซีแลนด์ พบว่ามี ตะพักทะเล (marine terrace) ซึ่งเป็นตัวบอกถึงขอบเขตชายฝั่งเดิมที่น้ำทะเลซัดถึง มากกว่า 3 ตะพัก ซึ่งอยู่สูงกว่าระดับชายหาดปัจจุบัน ผลจากการกำหนดอายุตะพักทะเลเอาไว้ก่อนหน้านี้โดย Ota และคณะ (1981) พบว่าตะพักทะเลชั้นบนมีอายุอยู่ในช่วง 1,100 ปี และ 2,900 ปีก่อนคริสตกาล ในขณะที่การยกตัวช่วงสุดท้ายเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2398 และ พ.ศ. 2003 ตามลำดับ ซึ่งการเกิดตะพักทะเลทั้งหมดนี้ นักแผ่นดินไหวคาดว่าน่าจะเกิดจากแผ่นดินไหวตามแนว รอยเลื่อนไวราราพา (Wairarapa fault) นอกชายฝั่งนิวซีแลนด์
![](https://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2021/02/4-67-1-1024x787.jpg)
พื้นที่ไม่ได้ยก แค่น้ำมันลดเองหรือเปล่า !!!
อย่างไรก็ตาม ผู้อ่านอาจจะสงสัยว่า เป็นไปได้ไหมที่สภาพตะพักทะเลอย่างที่เห็นในรูปต่างๆ ข้างบนนั้นไม่ได้ยุบหรือยกเพราะแผ่นดินไหวอย่างที่ผู้เขียนเล่า แต่แค่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระดับของน้ำทะเลทั่วโลก เหมือนอย่างที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ประเด็นนี้ ผู้เขียนขอตอบอย่างเสียงดังฟังชัดเลยนะครับว่า การเปลี่ยนแปลงระดับน้ำทะเลนั้นเคยเกิดขึ้นจริง แต่ก็จะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ดังนั้นการกรัดกร่อนของชายหาดที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงระดับน้ำทะเลก็จะไล่ลงไปแบบราบเรียบ ไม่ควรจะมีแง่งเป็นตะพักแบบที่เห็น ดังนั้นการเกิดเป็นตะพัก จึงแสดงหรือบ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงระดับแบบกระตุกแผ่นดินในแนวดิ่งทันทีทันใด ซึ่งก็เชื่อขนมกินได้เลยครับว่า “มันเกิดจากแผ่นดินไหว”
. . .
บทความล่าสุด : www.mitrearth.org
เยี่ยมชม facebook : มิตรเอิร์ธ – mitrearth