![](https://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2019/07/23-2-0-750x375.jpg)
เมฆ
เมฆ (clouds) คือ กลุ่มละอองน้ำ (water droplet) ที่จับตัวกับแกน หรือ นิวเคลียสควบแน่น (condensation nuclei) หลากหลายชนิด เช่น ฝุ่นควัน ละอองเกษร ละอองเกลือทะเล หรือแม้กระทั่งอยุภาคมลพิษต่างๆ ซึ่งเมฆจะเกิดในสภาวะเมื่ออากาศอิ่มตัว (มีความชื้นสัมพัทธ์ 100%) อากาศต้องเย็นถึง อุณหภูมิจุดน้ำค้าง (dew point) ซึ่งมวลอากาศหรือไอน้ำที่จะลดอุณหภูมิลงให้ถึงจุดนี้เพื่อกลายเป็นเมฆได้นั้น ต้องลอยตัวขึ้นที่สูงเหนือระดับควบแน่น เพราะเมื่ออากาศลอยตัวสูงขึ้น ความดันอากาศจะลดลง ทำให้ไอน้ำหรืออากาศขยายตัวและลดอุณภูมิลดลง (ต่ำกว่าจุดน้ำค้าง) จนกลายเป็นเมฆ
หลักการอะเดียบาติก (adiabatic principle) กล่าวว่า เมื่ออากาศขยาย-หดตัว อุณหภูมิจะลดลง-เพิ่มขึ้น
ตัวอย่างการเกิดเมฆที่เห็นได้ชัด ได้แก่ คอนเทรล (contrails) ที่เกิดจากเครื่องบินไอพ่นบินที่ความสูง เหนือระดับควบแน่น ไอน้ำซึ่งอยู่ในอากาศร้อนที่พ่นออกมาจากเครื่องยนต์ ปะทะเข้ากับอากาศเย็นซึ่งอยู่ภายนอก เกิดการควบแน่นเป็นหยดน้ำ โดยการจับตัวกับเขม่าควันจากเครื่องยนต์ซึ่งทำหน้าที่เป็นนิวเคลียสควบแน่น เราจึงมองเห็นเหมือนควันเมฆสีขาว พ่นออกมาจากท้ายของเครื่องยนต์เป็นทางยาว ซึ่งนั่นไม่ใช่ควันเหมือนรถยนต์แต่คือ เมฆ (clouds) ดีๆ นี่เอง
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2022/01/23-2-11-1024x537.jpg)
เมฆ (clouds) คือ กลุ่มละอองน้ำ (water droplet) ซึ่งมองเห็น ไม่ใช่และต่างจาก ไอน้ำ (water vapor) ซึ่งเป็นละอองน้ำเหมือนกัน แต่มองไม่เห็น
นักวิทยาศาสตร์จำแนกการก่อเมฆหรือกระบวนการธรรมชาติที่ยกมวลอากาศขึ้นที่สูงในแนวดิ่งได้ 4 สาเหตุหลัก คือ 1) อากาศยกตัวตามแนวเทือกเขา (orographic lifting) 2) อากาศยกตัวตามแนวปะทะมวลอากาศ (frontal lifting) 3) ความร้อนจากดวงอาทิตย์ทำให้ไอน้ำระเหยและยกตัวสูงขึ้น (solar heating) 4) ลมที่ยกตัว ยกมวลอากาศขึ้น (convergence of air at the surface)
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2021/01/23-2-2-1024x531.jpg)
การเรียกชื่อเมฆ
เมฆจัดกลุ่มตามรูปร่าง (form) ได้ 2 กลุ่ม ได้แก่ 1) คิวมูลัส (cumuliform) คือ เมฆเป็นปั้นๆ ก้อนๆ แน่นๆ อยู่แยกห่างๆ กัน ในที่ว่างเปล่าของท้องฟ้า 2) สเตรตัส (stratiform) คือ เมฆที่ก่อตัวเป็นแผ่นบางหรือเป็นชั้น ซึ่งเมฆทั้ง 2 รูปร่างจะสามารถอยู่ได้ที่ระดับความสูงต่างๆ กัน จากระดับทะเลไปจนถึงระดับ โทรโปพอส (tropopause) หรือที่ระดับความสูงจากพื้นโลกประมาณ 10-17 กิโลเมตร โดยนักวิทยาศาสตร์แบ่งเมฆออกเป็น 3 ชั้น (etage) ตามระดับความสูง ได้แก่ สูง กลาง ต่ำ ซึ่งจากรูปร่างและระดับความสูงที่แตกต่างกัน สามารถแบ่งเมฆออกเป็น 10 สกุล (genus) ดังนี้
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2021/01/23-2-1-1024x809.jpg)
ระดับ โทรโปพอส (tropopause) สูงจากพื้นโลกประมาณ 10-17 กิโลเมตร แปรเปลี่ยนตามเวลาและสถานที่ เช่น ยอดของเมฆอยู่สูงในแถบร้อน มากกว่าพื้นที่ในแถบละติจูดกลางและสูง
1) เมฆชั้นสูง (High Clouds) เกิดขึ้นที่ระดับความสูงมากกว่า 6 กิโลเมตร
- เมฆเซอโรคิวมูลัส (Cirrocumulus, Cc) เมฆสีขาว ลักษณะเป็นริ้วคลื่นเล็กๆ คล้ายระลอกคลื่น มักเกิดแบบปกคลุมท้องฟ้าเป็นบริเวณกว้าง
- เมฆเซอโรสเตรตัส (Cirrostratus, Cs) เมฆแผ่นบาง สีขาว ปกคลุมท้องฟ้าเป็นบริเวณกว้างเช่นกัน โปร่งแสง และสามารถทำให้แสงอาทิตย์หักเหได้ ทำให้เกิด ดวงอาทิตย์ทรงกลด และ ดวงจันทร์ทรงกลด เป็นรูปวงกลม สีคล้ายรุ้ง
- เมฆเซอรัส (Cirrus, Ci) เมฆริ้ว สีขาว รูปร่างคล้ายขนนก มักเกิดขึ้นในวันที่มีอากาศดี ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าเข้ม
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2022/01/23-2-5-1024x537.jpg)
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2021/01/23-2-3-1024x586.jpg)
2) เมฆชั้นกลาง (Middle Clouds) เกิดขึ้นที่ระดับความสูง 2-6 กิโลเมตร
- เมฆอัลโตคิวมูลัส (Altocumulus, Ac) เมฆก้อน สีขาว ลักษณะคล้ายฝูงแกะ ลอยเป็นแพ มีช่องว่างระหว่างก้อนเล็กน้อย
- เมฆอัลโตสเตรตัส (Altostratus, As) เมฆแผ่นหนา ส่วนมากมักมีสีเทา เนื่องจากบดบังแสงดวงอาทิตย์ไม่ให้มะลุผ่านไปได้ เกิดปกคลุมท้องฟ้าเป็นบริเวณกว้างมาก หรือปกคลุมท้องฟ้าทั้งหมด
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2022/01/23-2-6-1024x483.jpg)
3) เมฆชั้นต่ำ (Low Clouds) เกิดขึ้นที่ระดับความสูงต่ำกว่า 2 กิโลเมตร
- เมฆสเตรตัส (Stratus, St) เมฆแผ่นบาง มีฐานเรียบ ลอยสูงเหนือพื้นไม่มากนัก เช่น ลอยปกคลุมยอดเขามักเกิดตอนเช้าหรือหลังฝนตก
- เมฆสเตรโตคิวมูลัส (Stratocumulus, Sc) เมฆก้อน ลอยติดกันเป็นแพ ไม่มีรูปทรงที่ชัดเจน มีช่องว่างระหว่างก้อนเล็กน้อย มักเกิดในช่วงสภาพอากาศไม่ดี
- เมฆนิมโบสเตรตัส (Nimbostratus) เมฆแผ่นสีเทา ทำให้เกิดฝนพรำๆ หรือฝนตกแดดออก มักไม่มีพายุฝนฟ้าคะนองหรือฟ้าร้องฟ้าผ่า
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2022/01/23-2-7-1024x726.jpg)
4) เมฆก่อตัวในแนวตั้ง (Vertical Clouds)
- เมฆคิวมูลัส (Cumulus) เมฆก้อนปุกปุย สีขาวรูปทรงคล้ายกะหล่ำ ก่อตัวในแนวตั้ง เกิดขึ้นจากอากาศไม่มีเสถียรภาพ ส่วนที่แสงแดดตกกระทบจะขาวสว่าง ส่วนฐานเมฆเป็นสีเทาเนื่องจากมีความหนามากพอที่จะบดบังแสงอาทิตย์
- เมฆคิวมูโลนิมบัส (Cumulonimbus) พัฒนามาจากเมฆคิวมูลัส มีรูปทรงคล้ายหอคอยขนาดใหญ่ ยอดเมฆมีรูปทรงคล้ายดอกกะหล่ำ มีมวลเมฆหนาแน่นปกคลุมพื้นที่กว้าง เป็นเมฆที่ทำให้เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง หากกระแสลมชั้นบนพัดแรง ก็จะทำให้ยอดเมฆรูปกะหล่ำ กลายเป็นรูปทั่งตีเหล็ก ต่อยอดออกมาเป็น เมฆเซอโรสเตรตัส หรือ เมฆเซอรัส
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2022/01/23-2-8-1024x544.jpg)
ในการศึกษาเมฆขั้นรายละเอียด เราสามารถแยกย่อยแต่ละ สกุล (genus) เมฆออกได้อีกเป็นระดับ ชนิด (species) และ ความหลากหลาย (varieties) ได้ด้วย
หมอก
หมอก (fog) เกิดจากไอน้ำเปลี่ยนสถานะควบแน่นเป็นหยดน้ำเล็กๆ เหมือนกับเมฆ ต่างกันตรงที่เมฆเกิดจากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิเพราะมวลอากาศยกตัวขึ้นสูง ส่วนหมอกเกิดจากพื้นผิวเย็นลง โดยในวันที่มีอากาศชื้นและท้องฟ้าใส ช่วงกลางคืนพื้นดินจะเย็นตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้ไอน้ำในอากาศเหนือพื้นดินควบแน่นเป็นหยดน้ำ นักวิทยาศาสตร์จำแนกสาเหตุหรือสภาพแวดล้อมที่ทำให้เกิดหมอกออกเป็น 5 รูปแบบ คือ
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2021/01/23-2-4-1024x1000.jpg)
ละอองหมอก (mist) เป็นหยดน้ำขนาด 0.005 – 0.05 มิลลิเมตร เกิดจากเมฆสเตรตัส ทำให้เรารู้สึกชื้นเมื่อเดินผ่าน มักพบบนยอดเขสูง หากมองไกลๆ จะพบลักษณะที่เรียกว่า ฟ้าหลัว ซึ่งเกิดจากการที่ในอากาศมีละอองหมอกอยู่หนาแน่น
- หมอกจากการแผ่รังสี (radiation fog) หรือ หมอกพื้นดิน (ground fog) เกิดในคืนที่มีอากาศปลอดโปร่งและมีลมอ่อนๆ พื้นดินค่อยๆ เย็นตัวลง ไอน้ำถามพื้นดิน (ที่เกิดจากการขายน้ำของพืช) ที่เคยมองไม่เห็น จะเย็นตัวลงตามอุณหภูมิจุดน้ำค้าง จากนั้นเกิดเป็นหมอกเลียดพื้นดินตลอดทั้งคืน และช่วงสายๆ เมื่ออุณหภูมิเริ่มเพิ่มขึ้นบอกที่พื้นดินก็จะหายไป กลายเป็นละอองน้ำเช่นเดิม
- หมอกหุบเขา (valley fog) จะมีความหนาแน่นและอยู่ได้ยาวนานกว่าหมอกที่เกิดจากการแผ่รังสี เนื่องจากอยู่ภายใต้ความกดอากาศสูงที่ปกคลุมบริเวณหุบเขา แต่อาจหายไปอย่างรวดเร็ว เมื่อมีลมแรงพัดผ่าน
- หมอกที่เกิดจากการเคลื่อนที่ของอากาศ (advection fog) เมื่ออากาศร้อนชื้นเคลื่อนผ่านพื้นที่ที่เย็นกว่า อากาศจะเย็นตัวลงจนถึงจุดน้ำค้าง และเกิดหมอก
- หมอกที่เกิดจากการยกตัวของมวลอากาศตามความลาดชัน (upslope fog) เกิดขึ้นตามความลาดชันของด้านรับลมของทิวเขา ส่วนใหญ่หมอกจะมีการแพร่กระจายเหนือพื้นที่
- หมอกที่เกิดจากอากาศเย็นเคลื่อนผ่านพื้นที่อุ่นกว่า (steam fog) หรือ หมอกทะเล (sea smok) เกิดขึ้นเมื่ออากาศเย็นเคลื่อนที่ผ่านเหนือพื้นน้ำที่อุ่นกว่า ส่วนใหญ่มักเกิดบริเวณริมทะเล
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2022/01/23-2-9-1024x1022.jpg)
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2022/01/23-2-10-1024x806.jpg)
น้ำค้าง
น้ำค้าง (dew) เกิดจากการควบแน่นของไอน้ำบนพื้นผิวของวัตถุ ซึ่งมีการแผ่รังสีออกจนกระทั่งอุณหภูมิลดต่ำลงกว่าจุดน้ำค้างของอากาศที่อยู่โดยรอบ เนื่องจากพื้นผิวแต่ละชนิดมีการแผ่รังสีที่แตกต่างกัน ดังนั้นในบริเวณเดียวกัน ปริมาณของน้ำค้างที่ปกคลุมพื้นผิวจึงไม่เท่ากัน เช่น ในตอนหัวค่ำ อาจมีน้ำค้างปกคลุมพื้นหญ้า แต่ไม่มีน้ำค้างปกคลุมพื้นคอนกรีต ทั้งนี้เนื่องจากพืชมีการคลายน้ำออกมา ทำให้อากาศบริเวณนั้นมีความชื้นสูง
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2021/01/23-2-4-1024x1000.jpg)
. . .
บทความล่าสุด : www.mitrearth.org
เยี่ยมชม facebook : มิตรเอิร์ธ – mitrearth