![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2020/07/2-3-0-750x375.jpg)
หิน (rock) หมายถึงวัสดุที่เป็นของแข็งซึ่งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ โดยส่วนใหญ่เป็นสารอนินทรีย์ซึ่งประกอบด้วย แร่ชนิดเดียวกันหรือหลายชนิดรวมตัวกัน แต่ในบางกรณีอาจมีอินทรียวัตถุร่วมด้วย เช่น ถ่านหิน (coal) โดยหินที่กระจายอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ ของโลกจะมีความแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับวัตถุต้นกำเนิดและสภาพแวดล้อมของการเกิดหินดังกล่าว โดยนักธรณีวิทยาจำแนกหินในเบื้องต้นตามกระบวนการเกิดออกเป็น 3 ชนิด คือ
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2020/07/2-3-2-1024x643.jpg)
1) หินอัคนี (igneous rock) คือ หินที่เกิดจากการเย็นและตกผลึกของแมกมา (magma) ซึ่งแร่ประกอบหินที่สำคัญของหินอัคนี ได้แก่ แร่ควอตซ์ เฟลด์สปาร์ ไมกา ไพรอคซีน แอมฟิโบลและแร่โอลิวีน เป็นต้น นักธรณีวิทยาจำแนกหินอัคนีตามรูปแบบและสถานที่การเย็นตัวออกเป็น 2 ประเภทค คือ
- หินอัคนีที่เกิดจากการปะทุมาบนพื้นผิวโลก ที่เรียกว่า หินอัคนีภูเขาไฟ (volcanic rock) หรือ หินอัคนีปะทุ (extrusive rock) ได้แก่ หินไรโอไรท์ (rhyolite) หินแอนดิไซท์ (andesite) และ หินบะซอลต์ (basalt) และ
- หินอัคนีที่เกิดจากการแทรกดันและเย็นตัวอยู่ภายในแผ่นเปลือกโลก ที่เรียกว่า หินอัคนีบาดาล (plutonic rock) หรือ หินอัคนีแทรกดัน (intrusive rock) ได้แก่ หินแกรนิต (granite) หินไดโอไรท์ (diorite) และ หินแกบโบร (gabbro)
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2020/07/2-3-3-1024x364.jpg)
2) หินตะกอน (sedimentary rock) หรืออาจเรียกว่า หินชั้น คือ หินที่เกิดจากการทับถมของตะกอนซึ่งเกิดจากการผุพังของหินที่มีอายุแก่กว่า โดยแร่ประกอบหินที่สำคัญของหินตะกอน ได้แก่ แร่ควอตซ์ เฟลด์สปาร์ แคลไซต์ โดโลไมต์ ยิปซั่มและแร่เฮไลด์ เป็นต้น และจากความแตกต่างของกระบวนการตกสะสมตัวของตะกอนและชนิดของวัสดุที่ตกสะสมตัว นักธรณีวิทยาได้จำแนกหินตะกอนออกเป็น 3 ประเภทหลักๆ คือ
- หินตะกอนเนื้อเม็ด (clastic sedimentary rock) เช่น หินกรวดมนและหินกรวดเหลี่ยม (conglomerate and breccia) หินทราย (sand stone) หินทรายแป้ง (slit stone) หินดินดาน (shale) และ หินโคลน (mudstone)
- หินตะกอนเคมี (chemical sedimentary rock) เช่น หินปูน (limestone) หินโดโลไมต์ (dolomite) หินอีแวพอไรท์ (evaporite) และ หินเชิร์ต (chert)
- หินตะกอนชีวภาพ (biological sedimentary rock) เช่น ถ่านหิน (coal) หินชอล์ก (chalk) ไดอะตอมไมท์ (diatomite) หรือดินเบา และ หินโคคีนา (coquina)
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2020/07/2-3-4-1024x394.jpg)
หินปูน (limestone) คือ หินตะกอนเคมี และ
ถ่านหิน (coal) คือ หินตะกอนชีวภาพ (Biological Sedimentary Rock)
3) หินแปร (metamorphic rock) คือ หินที่แปรสภาพไปจากหินเดิม ทั้งจากหินอัคนี หินตะกอนรวมทั้งหินแปร โดยการกระทำของความร้อน ความดัน และปฏิกิริยาเคมีโดยการแปรสภาพหินเกิดในรูปของแข็งโดยไม่มีการหลอมละลายซึ่งแร่ประกอบหินที่สำคัญของหินแปร ได้แก่ แร่ควอตซ์ เฟลด์สปาร์ ไมกา การ์เนต ไพรอคซีนและแร่ไคยาไนต์ เป็นต้น โดยนักธรณีวิทยาจำแนกหินแปรตามลักษณะโครงสร้างหรือเนื้อหินได้ 2 ชนิด คือ
- หินแปรริ้วลาย (foliated metamorphic rock) ซึ่งหมายถึงหินแปรที่มีลักษณะการจัดเรียงตัวของแร่หรือเนื้อหินไปในแนวหนึ่งแนวใดโดยเฉพาะและเห็นได้ชัด เช่น หินชนวน หรือ หินกาบ (slate) หินฟิลไลต์ (phyllite) หินชีสต์ (schist) และ หินไนส์ (gneiss)
- หินแปรไร้ริ้วลาย (non-foliated metamorphic rock) ซึ่งหมายถึง หินแปรที่ไม่แสดงการจัดเรียงตัวของแร่ไปในแนวใดที่ชัดเจน เกิดจากผลึกแร่ที่ตกผลึกใหม่เกาะประสานยึดเกี่ยวกัน เช่น หินควอร์ตไซต์ (quartzite) หินอ่อน (marble) หินฮอนเฟลส์ (hornfels) และ หินแอมฟิโบไลต์ (amphibolite)
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2020/07/2-3-5-1024x395.jpg)
จากรูปด้านล่าง แสดงให้เห็นว่าหินสามารถเปลี่ยนแปลงไป-มา เป็นหินชนิดอื่นหรือหินชนิดเดิมได้ เรียกว่า วัฏจักรหิน (rock cycle) ซึ่งการเกิดหินชนิดใหม่ในแต่ละชนิดต้องผ่านกระบวนการเฉพาะตัว ได้แก่
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2020/07/2-3-1-932x1024.jpg)
- หินที่เปลี่ยนมาเป็นหินอัคนี ต้องผ่าน กระบวนการตกผลึก (crystallization) และการแข็งตัวเป็นของแข็ง (solidification)
- หินที่เปลี่ยนมาเป็นหินตะกอน ต้องผ่าน กระบวนการผุพังอยู่กับที่ (weathering) การพัดพา (transportation) การสะสมตัว (deposition) การอัดแน่น (compaction) การประสาน (cementation) และ กระบวนการแข็งเป็นหิน (lithification)
- หินที่เปลี่ยนมาเป็นหินแปร ต้องผ่าน กระบวนการให้ความร้อน (heat) และ/หรือ ความดัน (pressure)
เกร็ดความรู้
นอกจากหินทั้ง 3 ชนิดหลักๆ ในธรรมชาติเรายังสามารถพบหินก้อนเดียวกันที่ผสมกันของหิน 2 ชนิดได้ด้วย เรียกว่า หินมิกมาไทต์ (migmatite) ซึ่งหมายถึง หินที่ประกอบด้วยหินแกรนิตและหินไนส์ รวมอยู่ในก้อนเดียวด้วยกัน เกิดจากระดับอุณหภูมิและความดันนั้นเกินขอบเขตการแปรสภาพ ทำให้เกิดการหลอมละลายบางส่วนของแร่สีขาวเป็นส่วนใหญ่และสีดำบางส่วน โดยหินมิกมาไทต์เกิดได้ 2 กรณี คือ
- หินเดิมเป็นหินแกรนิตและบางส่วนถูกแปรสภาพกลายเป็นหินหินไนส์ใหม่อยู่ร่วมกับหินแกรนิตเดิม หรือ
- หินเดิมเป็นหินไนส์และเกิดการหลอมลายบางส่วนเป็นหินแกรนิตใหม่อยู่ร่วมกับหินไนส์เดิม
หินมิกมาไทต์ (migmatite) ถือเป็นขอบเขตสูงที่สุดของการแปรสภาพหิน และเป็นหินที่แสดงถึงความไม่คงที่ของอุณหภูมิในการแปรสภาพหินในพื้นที่นั้น
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2020/07/2-3-0-1024x536.jpg)
. . .
บทความล่าสุด : www.mitrearth.org
เยี่ยมชม facebook : มิตรเอิร์ธ – mitrearth