![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2019/07/14-3-0-750x375.jpg)
หินตะกอนเนื้อเม็ด (clastic หรือ detrital sedimentary rock) เกิดโดยการทับถมของตะกอนขนาดต่างๆ และแข็งตัวกลายเป็นหิน หรือ การก่อตัวใหม่ (diagenesis) ซึ่งหมายถึง การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ เคมีหรือทางชีวภาพของตะกอน ตั้งแต่ตะกอนเริ่มสะสมตัวจนกระทั่งกลายเป็นหิน ซึ่งกระบวนการก่อตัวใหม่ของตะกอนจนกลายเป็นหินประกอบด้วย 3 กระบวนการหลัก
1) การอัดแน่น (compaction) เกิดจากแรงกดทับของตะกอนที่ทับถมอยู่ด้านบนหรือแรงจากกระบวนการธรณีแปรสัณฐาน ทำให้ช่องว่างระหว่างเม็ดตะกอนลดลง ตะกอนเกาะตัวกันมากขึ้น
2) การเชื่อมประสาน (cementation) เกิดจากตัวเชื่อมประสาน (cement) เช่น แร่แคลไซต์ โดโลไมต์ และแร่ควอตซ์ เข้าไปแทนที่ช่องว่างระหว่างเม็ดตะกอน ทำให้ตะกอนเชื่อมติดกัน
3) การตกผลึกใหม่ (recrystallization) โดยการตกผลึกของตะกอนเคมีบางชนิดทำให้ตะกอนที่ทับถมกันเกาะตัวแข็งเป็นหิน
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2019/10/14-3-1-1024x295.jpg)
โดยเนื้อของหินตะกอนเนื้อเม็ดจะประกอบด้วย 1) เม็ดตะกอนขนาดใหญ่ (clast) เช่น แร่ดิน ควอตซ์ เฟล์ดสปาร์ และแร่ไมกา 2) เม็ดตะกอนขนาดเล็ก (metrix) ที่เติมเต็มอยู่ตามช่องว่างระหว่างเม็ดตะกอนขนาดใหญ่ และ 3) ตัวเชื่อมประสาน (cement) เช่น แร่แคลไซต์ เหล็กออกไซด์ และแร่ซิลิกา ซึ่งนักธรณีวิทยาจำแนกหินตะกอนเนื้อเม็ดเป็นหินชนิดต่างๆ ตามขนาดของเม็ดตะกอนขนาดใหญ่เป็นหลัก
1) หินกรวดมนและหินกรวดเหลี่ยม
หินกรวดมนและหินกรวดเหลี่ยม (conglomerate and breccia) คือ หินที่เกิดจากการสะสมตัวของกรวด (gravel) ซึ่งเกิดจากสภาพแวดล้อมการตกตะกอนที่แตกต่างกัน เช่น หินกรวดเหลี่ยมอาจเกิดบริเวณเชิงเขาที่สูงชันหรือ ลานหินตีนผา (talus) หรือบริเวณที่มี เศษหินไหลหลาก (debris flow) ส่วนหินกรวดมนโดยส่วนใหญ่มีแหล่งกำเนิดมาจาก ตะกอนท้องน้ำ (bed load)
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2019/10/14-3-2-1024x378.jpg)
บางครั้งหินกรวดมนและหินกรวดเหลี่ยมอาจเรียกชื่อเฉพาะตามแหล่งกำเนิดของตะกอนได้เช่นกัน เช่น หินทิลไลต์ (tillite) เกิดจากการแข็งตัวของตะกอนธารน้ำแข็งไม่แยกชั้น หรือ ทิลล์ (till) ซึ่งทำให้ได้หินที่มีตะกอนขนาดกรวดปะปนกันอยู่กับตะกอนหลากหลายขนาด
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2019/10/14-3-4-1024x458.jpg)
ส่วนในกรณีของตะกอนขนาดกรวดที่อยู่ในเนื้อโคลน เรียกว่า หินนิรสถาน (diamictite หรือ drop stone) เกิดจาก ภูเขาน้ำแข็ง (iceberg) ซึ่งอมตะกอนหลากหลายขนาดรวมทั้งตะกอนขนาดกรวด ลอยออกไปกลางมหาสมุทร และเมื่อภูเขาน้ำแข็งละลาย ตะกอนที่อมมาด้วยจมตัวลงพื้นมหาสมุทร ซึ่งโดยปกติพื้นมหาสมุทรมีการสะสมตัวของตะกอนขนาดดินหรือโคลนเป็นหลัก ทำให้เกิดเป็นหินตะกอนขนาดกรวดที่อยู่ในเนื้อโคลนดังกล่าว หรือในกรณีของ กรวดภูเขาไฟ (pyroclastic) หลากหลายขนาดที่ตกทับถมกัน เมื่อแข็งตัวกลายเป็นหิน เรียกว่า หินกรวดภูเขาไฟ (agglomerate) เป็นต้น
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2019/10/14-3-3-1024x328.jpg)
2) หินทราย
หินทราย (sand stone) เกิดจากตะกอนขนาดทราย โดยส่วนใหญ่มีองค์ประกอบเป็นแร่ควอตซ์ แร่เฟลด์สปาร์และ เศษชิ้นหิน (rock fragment) โดยแหล่งที่มาของตะกอนขนาดทรายสามารถเกิดได้จากหลายสภาพแวดล้อม เช่น ทรายตามชายหาดโดยส่วนใหญ่มีเศษเปลือกหอยรวมอยู่ด้วย ทรายจากทะเลทรายจะมีการคัดขนาดที่ดี และโดยส่วนใหญ่มีสีแดงที่เกิดจากกระบวนการออกซิเดชัน เป็นต้น
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2019/10/14-3-6-1024x372.jpg)
3) หินทรายแป้ง
หินทรายแป้ง (slit stone) เกิดจากตะกอนขนาดทรายแป้ง ซึ่งมีขนาดอยู่ระหว่างทรายและดิน องค์ประกอบส่วนใหญ่เป็นแร่ควอตซ์ แร่เฟลด์สปาร์ พบได้ไม่บ่อยนัก บางครั้งมีความคล้ายกับหินดินดานมาก
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2019/10/14-3-7-1024x384.jpg)
4) หินดินดาน
หินดินดาน (shale) และ หินโคลน (mudstone) ประกอบด้วยตะกอนละเอียดขนาดดินหรือโคลน โดยส่วนใหญ่เป็นสีเทาหรือดำของอินทรียวัตถุ ที่ตกทับถมกันในสภาพแวดล้อมแบบพลังงานต่ำ น้ำนิ่ง ตะกอนถูกพัดพามาแบบ ตะกอนแขวนลอย (suspended load) หินดินดานโดยส่วนใหญ่มีชั้นบางเป็นแผ่นชัดเจน กะเทาะเป็นแผ่นหรือเป็นกาบได้ง่าย ในขณะที่หินโคลน เป็นเนื้อแน่นไม่มีการแยกชั้นชัดเจน
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2019/10/14-3-5-1024x396.jpg)
. . .
บทความล่าสุด : www.mitrearth.org
เยี่ยมชม facebook : มิตรเอิร์ธ – mitrearth