
ในช่วงกลางปี พ.ศ. 2547 ก่อนที่จะเกิดแผ่นดินไหวขนาด 9.1 ตรงหัวเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย และสึนามิซัดขึ้นฝั่งอันดามันของไทย ผู้เขียนได้รับโอกาสจาก สำนักงานศิลปากรที่ 15 จังหวัดภูเก็ต ให้ไปเก็บตัวอย่างจาก แหล่งโบราณคดีบ้านทุ่งตึก อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา เพื่อมากำหนดอายุแหล่งโบราณคดีดังกล่าว ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ที่มาที่ไปคือก่อนหน้านี้ กรมศิลปากรได้มีการสำรวจและขุดค้นแหล่งโบราณคดีบ้านทุ่งตึก ที่ตั้งอยู่บนเกาะคอเขา ติดกับแผ่นดินใหญ่ฝั่งอำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา ผลการศึกษาพบฐานรากของโบราณสถานที่ก่อสร้างด้วยอิฐจำนวน 7 แห่ง กระจายตัวอยู่ไม่ห่างกันมากนัก (เดินถึงกันพอเหนื่อย) ทางฝั่งด้านในของเกาะติดกับแผ่นดินใหญ่

ความสำคัญของเมืองโบราณบ้านทุ่งตึกนี้อยู่ตรงที่ นักโบราณคดีพบโบราณวัตถุมากมาย และหลากหลาย กระจายตัวอยู่ในแถบนั้น โดยโบราณวัตถุที่สำรวจพบ ได้แก่ เศษเครื่องปั้นดินเผาที่น่าจะผลิตใช้กันเองในท้องถิ่น เครื่องแก้วที่นักโบราณคดีจำแนกว่าน่าจะเป็นเครื่องแก้วที่มาจากเปอร์เซีย ถ้วยชามของจีนที่มีลวดลายเด่นชัดว่าผลิตในสมัยราชวงศ์ถัง (พ.ศ. 1248-1450) หรือราวพุทธศตวรรษที่ 12-15 รวมทั้งเศษเม็ดลูกปัดหลากสีลวดลายสวยงาม ที่คลุกปนอยู่กับทรายกระจายตัวไปทั่วพื้นที่ นักโบราณคดีจึงเชื่อว่านี่คงไม่ใช่แหล่งโบราณคดีธรรมดาๆ แต่น่าจะเป็นเมืองท่าสำคัญนามว่า “ตะโกลา” ที่เคยมีคนกล่าวขาน เป็นตำนานในอดีต

ว่ากันว่าท่าเรือโบราณที่บ้านทุ่งตึกนี้น่าจะสำคัญไม่หยอก เพราะจากความหลากหลายของโบราณวัตถุที่เห็นและสภาพทางภูมิศาสตร์ที่ตั้ง เชื่อว่าน่าจะสำคัญพอๆ กับท่าเรือสิงคโปร์ในปัจจุบัน แน่นอนว่าทุกวันนี้เรือจากมหาสมุทรอินเดียที่จะข้ามห้วยไปทำมาค้าขายกับทางฝั่งทะเลจีนใต้และอ่าวไทย จะต้องผ่านและเสียค่าต๋งให้กับท่าเรือที่สิงคโปร์กันทั้งนั้น แต่ในอดีตเรือที่จะข้ามไปฝั่งอ่าวไทยน่าจะผ่านมาทางบ้านทุ่งตึกนี้ โดยเทียบเรือใหญ่ที่เกาะคอเขา ขนของลงเรือเล็กลัดเลาะไปตามลำคลอง เดินเท้าอีกนิดหน่อยก็สามารถข้ามไปฝั่งอ่าวไทยแถวๆ อ่าวบ้านดอน ของจังหวัดสุราษฎร์ธานี (ปัจจุบัน) ได้แล้ว นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมเมืองโบราณบ้านทุ่งตึกจึงสำคัญ
ย้อนกลับไปคุยกันที่ทุ่งตึกอีกครั้ง ด้วยภารกิจที่ต้องกำหนดอายุให้กับแหล่งโบราณณคดีแห่งนี้ ผู้เขียนจึงล่องใต้มุ่งสู่อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา และข้ามฟากไปยังเกาะคอเขาที่ท่าเรือบ้านน้ำเค็ม จากการเดินสำรวจคร่าวๆ บริเวณแหล่งโบราณคดีบ้านทุ่งตึก ผู้เขียนและรุ่นพี่นักวิจัย รวมทั้งนักโบราณคดีรุ่นใหญ่เจ้าของพื้นที่ ได้ตัดสินใจเก็บตัวอย่างอิฐ จากฐานโบราณสถานต่างๆ มาจำนวน 6 ก้อน เพื่อนำมากำหนดอายุด้วยวิธีเปล่งแสง (luminescence dating) ซึ่งถือเป็นวิธีการกำหนดอายุวิธีใหม่ที่ถูกนำมาใช้ในประเทศไทยในขณะนั้น โดยรายละเอียดทางทฤษฎีของการกำหนดอายุโดยวิธีเปล่งแสง มีดังนี้
- การหาอายุด้วยวิธีเปล่งแสง : ตอน 1 ทฤษฏีและการประยุกต์เพื่อหาอายุ
- การหาอายุด้วยวิธีเปล่งแสง : ตอน 2 อัตราการแผ่รังสีจากสิ่งแวดล้อม
- การหาอายุด้วยวิธีเปล่งแสง : ตอน 3 รังสีบรรพกาลจาก TL
- การหาอายุด้วยวิธีเปล่งแสง : ตอน 4 รังสีบรรพกาลจาก OSL
ด้วยคอนเซ็ปต์ของการกำหนดอายุด้วยวิธีเปล่งแสง เราสามารถกำหนดอายุของวัตถุนับตั้งแต่วัตถุชิ้นนั้นได้รับความร้อนที่เพียงพอครั้งล่าสุดได้ ซึ่งถ้าก้อนอิฐจากฐานโบราณสถานที่บ้านทุ่งตึกถูกเผาอย่างสมบูรณ์จริงๆ เราก็น่าจะสามารถหาอายุวันที่อิฐนั้นถูกเผา หรือเทียบเคียงได้กับช่วงเวลาที่ก่อสร้างโบราณสถาน หรืออายุของแหล่งโบราณคดีนั้นได้เช่นกัน แต่ถ้าอิฐบางส่วนถูกเผาไม่สมบูรณ์ สัญญาณการเปล่งแสงที่ตรวจวัดได้ก็จะเป็นสัญญาณเดิมของดินก่อนที่จะถูกปั้นเป็นอิฐ บวกกับสัญญาณที่สะสมมาใหม่นับตั้งแต่วันที่นำอิฐไปก่อสร้างฐานโบราณสถานจนถึงปัจจุบัน

จากอิฐทั้ง 6 ก้อน ที่เก็บมาจากแหล่งโบราณคดีบ้านทุ่งตึก ผู้เขียนได้ทำการผ่าครึ่งอิฐเพื่อดูไส้ในและถ่ายรูปเอาไว้ สิ่งที่สังเกตได้ในเบื้องต้นจากสองตาที่เห็น คือสีขอบข้างนอกและข้างในของอิฐดูจะไม่เหมือนกัน จึงตัดสินใจเจาะเอาตัวอย่างและตรวจวัดหาสัญญาณการเปล่งแสงจากทั้งข้างในและข้างนอกของมวลอิฐ จากนั้นก็ประมวลผลไปตามทฤษฏีและได้ผลการกำหนดอายุด้วยวิธีเปล่งแสงดังแสดงในตาราง
อิฐ | ยูเรเนียม (ppm) | ทอเรียม (ppm) | โปแตสเซียม (%) | ความชื้น (%) | AD (Gy/Ka) | ED (Gy) | อายุ (ปี ที่ผ่านมา) |
TT1-1 | 9.43±0.23 | 61.85±2.2 | 2.95±0.1 | 3.52 | 9.99±7.68 | 19.84±0.61 | 1,980±140 |
TT1-2 | 9.43±0.23 | 61.85±2.2 | 2.95±0.1 | 3.52 | 9.99±7.68 | 20.35±0.63 | 2,030±140 |
TT2-1 | 11.66±0.22 | 64.41±1.99 | 3±0.09 | 4.57 | 10.71±7.24 | 7.56±1.65 | 700±50 |
TT2-2 | 11.66±0.22 | 64.41±1.99 | 3±0.09 | 4.57 | 10.71±7.24 | 10.46±1.15 | 970±60 |
TT3-1 | 19.3±0.27 | 77.2±2.16 | 4.07±0.1 | 0.62 | 14.85±10.03 | 0.13±0.00 | 8±0 |
TT3-2 | 19.3±0.27 | 77.2±2.16 | 4.07±0.1 | 0.62 | 14.85±10.03 | 0.77±0.01 | 51±2 |
TT4-1 | 4.94±0.19 | 29.96±1.5 | 2.14±0.09 | 5.38 | 5.70±2.57 | 7.77±2.23 | 1,360±170 |
TT4-2 | 4.94±0.19 | 29.96±1.5 | 2.14±0.09 | 5.38 | 5.70±2.57 | 10.91±1.70 | 1,910±230 |
TT5-1 | 9.98±0.18 | 59.37±1.93 | 3.07±0.08 | 9.38 | 9.78±6.16 | 16.41±0.91 | 1,670±110 |
TT5-2 | 9.98±0.18 | 59.37±1.93 | 3.07±0.08 | 9.38 | 9.78±6.16 | 16.42±1.33 | 1,670±110 |
TT6-2 | 6.27±0.16 | 33.32±1.26 | 2.39±0.08 | 4.70 | 6.54±2.44 | 7.21±1.96 | 1,100±120 |
TT6-1 | 6.27±0.16 | 33.32±1.26 | 2.39±0.08 | 4.70 | 6.54±2.44 | 8.28±1.16 | 1,260±130 |
ผลจากการกำหนดอายุอิฐทั้ง 6 ก้อน พบว่าอายุที่ได้จากกลุ่มตัวอย่างบริเวณข้างในก้อนอิฐมักจะให้อายุที่แก่กว่าผลการกำหนดอายุจากเนื้ออิฐที่ตำแหน่งด้านนอก นอกจากนี้เมื่อเปรียบเทียบอายุที่ได้กับช่วงอายุคร่าวๆ ที่ประเมินจากเครื่องถ้วยชามราชวงศ์ถังของจีนหรือเครื่องแก้วเปอร์เซีย พบว่าผลการกำหนดอายุอิฐส่วนนอกจากตัวอย่างอิฐทั้ง 4 ก้อน (TT2, TT4, TT5 และ TT6) มีอายุที่สอดคล้องกัน ในขณะที่อายุที่ได้จากมวลอิฐข้างในมักจะแก่กว่าอย่างเป็นระบบ
และถ้านำข้อมูลการวัดสัญญาณการเปล่งแสงซ้ำๆ หลายๆ ครั้ง ในตัวอย่างเดียวกันมาวิเคราะห์การกระจายตัวของค่าที่ได้ดู ก็จะพบว่าสัญญาณการเปล่งแสงของอิฐด้านในกระเจิงและกระจายตัวกันมาก หมายความว่าสัญญาณการเปล่งแสงมีส่วนของสัญญาณของดินเดิมก่อนที่จะมีการปั้นและเผาอิฐร่วมอยู่ด้วย ซึ่งจะแตกต่างจากผลการหาสัญญาณการเปล่งแสงด้านนอกของอิฐที่ให้สัญญาณเกาะกลุ่มกันมากกว่า จึงแปลความได้ว่าอิฐส่วนนอกน่าจะถูกเผาและลบล้างสัญญาณได้สมบูรณ์ดีกว่าเนื้ออิฐส่วนใน

จากผลการตรวจวัดอย่างที่เห็น ผู้เขียนจึงแปลความว่าในอดีตคนโบราณที่อาศัยอยู่บนเกาะคอเขา จังหวัดพังงา น่าจะใช้อิฐแบบกึ่งสุกกึ่งดิบ (medium rae) มาใช้ในการก่อสร้าง อย่างไรก็ตาม ถ้าพิจารณาเฉพาะอายุที่ตรวจวัดได้จากส่วนนอกของอิฐ พบว่ามีอิฐ 2 ใน 6 ก้อน (TT1 และ TT3) ที่แสดงอายุข้อนไปทางแปลกประหลาด เมื่อเปรียบเทียบกับอายุโบราณวัตถุที่คาดการณ์ไว้ โดยอิฐก้อนแรก TT1 ตรวจวัดอายุได้เกือบ 2,000 ปี ซึ่งแก่กว่าความเป็นจริง และถ้าลองกลับไปดูไส้ในอิฐก้อนนั้นจะเห็นว่าสีของอิฐดูเหมือนว่าจะผ่านการเผาน้อยมาก (แปลความเท่าที่ตาเห็นว่าขอบด้านนอกบางมาก) ถ้าเป็นสเต็กก็คงระดับ แรร์ (rare) : ย่างแบบเนื้อด้านนอกสุกพอประมาณ (เป็นสีน้ำตาลอมเทา) ส่วนด้านในยังเป็นเนื้อแดงอมชมพูอยู่ ส่วนมากจะใช้เวลาย่างประมาณ 1 นาที ดั้งนั้นอาจเป็นไปได้ว่า แม้จะพยายามเก็บตัวอย่างจากส่วนด้านนอกของอิฐดีแล้ว แต่ก็อาจจะมีส่วนที่ลบล้างสัญญาณการเปล่งแสงไม่สมบูรณ์อันเนื่องจากเผาไม่สุกอย่างแรงหรือเผาแบบลวกๆ ปนอยู่
ส่วนกรณีของอิฐอีกก้อน (TT3) ว่ากันจริงๆ ผู้เขียนก็สังเกตเห็นในแว็บแรกตั้งแต่ตอนเก็บตัวอย่างแล้วว่าอิฐก้อนนี้มีความแกร่งและแก่นมากกว่าอิฐก้อนอื่นๆ รวมทั้งสีของอิฐก็เห็นเป็นเนื้อเดียวกันทั่วทั้งก้อน ซึ่งเมื่อผลการหาอายุออกมาได้ 8±0 ที่ผ่านมา ก็พอจะแปลความแบบโป๊ะเชะได้ว่านี่น่าจะเป็นอิฐปัจจุบัน ที่คงจะที่การนำมาเสริมเติมแต่งในช่วงที่มีการขุดคุ้นหรือปรับแต่งโบราณสถานนั่นเอง
โดยสรุปข้อคิดที่ผู้เขียนได้เรียนรู้จากงานวิจัยชิ้นนี้ คือ อิฐจากโบราณสถานเป็นวัสดุทางโบราณคดีที่มีศักยภาพในการนำมากำหนดอายุแหล่งโบราณคดีได้อย่างดี แต่ก็มีข้อควรระวังในการเลือกตรวจวัดตัวอย่าง อย่างที่เล่าไปทั้งหมดในตอนต้น
“…การสร้างอาคารสมัยนี้คงจะเป็นเกียรติสำหรับผู้สร้างคนเดียว แต่เรื่องโบราณสถานนั้นเป็นเกียรติของชาติ อิฐเก่าๆ แผ่นเดียวก็มีค่า ควรช่วยกันรักษาไว้ ถ้าเราขาดสุโขทัย อยุธยา และกรุงเทพฯ แล้ว ประเทศไทยก็ไม่มีความหมาย…”
พระราชดำรัส ในหลวงรัชกาลที่ 9 กับโบราณคดีไทย พ.ศ. 2506
. . .
บทความล่าสุด : www.mitrearth.org
เยี่ยมชม facebook : มิตรเอิร์ธ – mitrearth