อุกกาบาต (Meteorite) เป็นวัตถุที่น่าทึ่งที่เดินทางมายังโลกจากอวกาศและสามารถบอกเล่าเรื่องราวของจักรวาล การศึกษาอุกกาบาตช่วยเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการก่อกำเนิดของระบบสุริยะ การเกิดของดาวเคราะห์ และแม้แต่สมมุติฐานเกี่ยวกับการกำเนิดของสิ่งมีชีวิตบนโลก บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจประเภท การกำเนิด องค์ประกอบ และความสำคัญทางวิทยาศาสตร์ของอุกกาบาต รวมถึงผลกระทบที่มีต่อวัฒนธรรมและความคิดทางวิทยาศาสตร์ของมนุษย์

เพิ่มเติม : อุลกมณี (tektite)

อุกกาบาต คืออะไร

อุกกาบาต (Meteorite) คือ เศษซากของวัตถุในอวกาศที่เดินทางผ่านบรรยากาศของโลกและตกลงสู่พื้นผิว ก่อนจะเข้าสู่บรรยากาศโลก วัตถุเหล่านี้เรียกว่า อุกกาบาต (meteoroid) และเมื่อพวกมันลุกไหม้ในบรรยากาศจะเรียกว่า ดาวตก (meteor) ส่วนอุกกาบาตคือเศษซากที่สามารถผ่านชั้นบรรยากาศและตกลงมาถึงพื้นผิวโลกได้ โดยส่วนใหญ่จะถูกเผาไหม้และทำลายไปเมื่อผ่านชั้นบรรยากาศ แต่วัตถุขนาดใหญ่ที่มีความแข็งแรงสูงยังสามารถรอดลงมาถึงพื้นโลกได้

กำเนิดและที่มา

อุกกาบาต (Meteorite) ส่วนใหญ่มีต้นกำเนิดจากเศษซากที่หลงเหลือจากกระบวนการเกิดระบบสุริยะเมื่อประมาณ 4.6 พันล้านปีที่แล้ว ขณะที่ดวงอาทิตย์ก่อตัว เศษฝุ่นและก๊าซที่เหลือได้รวมตัวเป็นแผ่นดิสก์หมุนรอบดวงอาทิตย์ ซึ่งในที่สุดได้พัฒนามาเป็นดาวเคราะห์ ดวงจันทร์ และวัตถุขนาดเล็กอย่างดาวเคราะห์น้อยและดาวหาง อุกกาบาตส่วนใหญ่มาจากเศษซากของดาวเคราะห์น้อยในแถบดาวเคราะห์น้อยระหว่างดาวอังคารและดาวพฤหัสบดี บางชนิดยังอาจมาจากดวงจันทร์และดาวอังคารด้วยเช่นกัน ซึ่งเกิดจากการกระแทกอย่างรุนแรงจนทำให้เศษซากถูกพุ่งออกมาสู่ห้วงอวกาศ

เพิ่มเติม : อุกกาบาต กับการโหม่งโลก

ประเภทอุกกาบาต

อุกกาบาตแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ๆ ซึ่งแต่ละประเภทมีลักษณะเฉพาะตัวและมีแหล่งกำเนิดที่แตกต่างกัน ได้แก่

1) อุกกาบาตหิน (Stony Meteorite) เป็นอุกกาบาตที่พบได้บ่อยที่สุด โดยแบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก ๆ ได้แก่ 1) คอนไดรต์ (Chondrite) มีโครงสร้างที่เรียกว่า “คอนไดรูล” ซึ่งเป็นอนุภาคทรงกลมเล็ก ๆ ที่เกิดจากแร่ซิลิเกต คอนไดรต์เป็นอุกกาบาตที่มีอายุเก่าแก่และยังคงสภาพเดิมมาตั้งแต่เกิดระบบสุริยะ 2) อคอนไดรต์ (Achondrite) อุกกาบาตที่ไม่มีคอนไดรูล ซึ่งผ่านกระบวนการหลอมเหลวและเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภายใน แสดงให้เห็นว่าเกิดจากวัตถุขนาดใหญ่ที่มีการหลอมและแยกส่วนภายใน

https://en.m.wikipedia.org/wiki/Carbonaceous_chondrite

https://en.m.wikipedia.org/wiki/Achondrite

2) อุกกาบาตเหล็ก (Iron Meteorite) มีส่วนประกอบหลักเป็นเหล็กและนิกเกิล เชื่อกันว่ามาจากแกนกลางของดาวเคราะห์น้อยที่เกิดการแยกตัวระหว่างแกนกลางที่เป็นโลหะและเปลือกที่เป็นหิน อุกกาบาตชนิดนี้มีความหนาแน่นสูงและมีลักษณะเงาแวววาว

https://en.m.wikipedia.org/wiki/Iron_meteorite

3) อุกกาบาตหิน-เหล็ก (Stony-Iron Meteorite) อุกกาบาตชนิดนี้พบได้ยาก มีทั้งแร่ซิลิเกตและโลหะผสมกัน แสดงถึงบริเวณขอบระหว่างแกนกลางโลหะและเปลือกหินของดาวเคราะห์น้อย

เพิ่มเติม : มหายุคมีโซโซอิก – ยุคทองของ ไดโนเสาร์

เพิ่มเติม :

https://www.eurekalert.org/news-releases/478555

องค์ประกอบของอุกกาบาต

อุกกาบาตแต่ละชนิดมีองค์ประกอบที่แตกต่างกันไปตามชนิดและแหล่งกำเนิด โดยทั่วไปแล้วอุกกาบาตมีธาตุที่พบบนโลก เช่น ออกซิเจน ซิลิคอน เหล็ก แมกนีเซียม และนิกเกิล นอกจากนี้อุกกาบาตบางชนิดยังมีธาตุหายาก เช่น อิริเดียมและแพลทินัม ซึ่งพบได้น้อยในเปลือกโลก

นอกจากองค์ประกอบธาตุแล้ว อุกกาบาตยังมีแร่ธาตุที่น่าสนใจ ซึ่งบางชนิดมีอายุก่อนการก่อตัวของระบบสุริยะ แร่ธาตุเหล่านี้เรียกว่า “แร่ธาตุพรีโซลาร์ (Presolar grains)” เกิดจากดาวฤกษ์โบราณและมีค่ามากในการศึกษากระบวนการภายในดาวและการก่อตัวของวัตถุในระบบสุริยะ

ความสำคัญทางวิทยาศาสตร์

อุกกาบาตมีความสำคัญต่อวงการวิทยาศาสตร์อย่างมาก ช่วยเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการเกิดระบบสุริยะ การสร้างแกนกลางดาวเคราะห์ และสมมุติฐานเกี่ยวกับการเกิดสิ่งมีชีวิตในโลก ประเด็นสำคัญในการศึกษามีดังนี้

1) การทำความเข้าใจการเกิดระบบสุริยะ อุกกาบาตเป็นหลักฐานดั้งเดิมของระบบสุริยะที่ช่วยให้เราเข้าใจเกี่ยวกับวัตถุดิบและเงื่อนไขในช่วงแรกเริ่ม โดยการวิเคราะห์องค์ประกอบไอโซโทปของอุกกาบาตทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถกำหนดอายุของอุกกาบาตและประวัติของระบบสุริยะได้

2) การศึกษากระบวนการแยกชั้นในดาวเคราะห์ อุกกาบาตเหล็กและหิน-เหล็กช่วยให้เข้าใจโครงสร้างภายในและกระบวนการแยกชั้นของวัตถุขนาดใหญ่ เช่น ดาวเคราะห์และดาวเคราะห์น้อย โดยการศึกษาลักษณะของอุกกาบาตชนิดนี้ทำให้นักวิจัยเข้าใจเกี่ยวกับการก่อตัวของแกนกลาง เปลือก และชั้นหินบนของดาวเคราะห์

3) สารประกอบอินทรีย์และสิ่งมีชีวิต อุกกาบาตคาร์บอเนเชียสคอนไดรต์บางชนิดมีสารประกอบอินทรีย์ เช่น กรดอะมิโน ซึ่งเป็นส่วนประกอบของชีวิต การค้นพบนี้ทำให้เกิดสมมุติฐานว่าอุกกาบาตอาจมีบทบาทในการนำสารสำคัญเหล่านี้มาสู่โลก และอาจเป็นต้นกำเนิดของสิ่งมีชีวิต

4) ข้อมูลเกี่ยวกับดาวอังคารและดวงจันทร์ อุกกาบาตบางชนิดมีต้นกำเนิดจากดาวอังคารและดวงจันทร์ ทำให้เราได้ตัวอย่างหินจากวัตถุเหล่านี้มาศึกษาบนโลก ซึ่งช่วยให้เข้าใจลักษณะทางธรณีวิทยาและประวัติศาสตร์ของดาวอังคารและดวงจันทร์ได้โดยไม่ต้องส่งมนุษย์ไปสำรวจ

เพิ่มเติม :

การชนและผลกระทบที่เกิดขึ้น

การชนของอุกกาบาตกับโลกส่งผลกระทบอย่างมาก โดยเฉพาะอุกกาบาตขนาดใหญ่ที่สามารถสร้างแอ่งกระแทกและเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมจนส่งผลต่อชีวิตบนโลก

1) แอ่งกระแทก การชนของอุกกาบาตขนาดใหญ่สามารถสร้างแอ่งกระแทกได้ ตัวอย่างเช่น แอ่งกระแทกแบร์ริงเจอร์ในรัฐแอริโซนา และแอ่งชิกชูลูบในเม็กซิโก แอ่งชิกชูลูบเป็นที่รู้จักอย่างมากเนื่องจากเชื่อว่าเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ของไดโนเสาร์เมื่อประมาณ 66 ล้านปีก่อน

2) การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ การชนของอุกกาบาตชิกชูลูบทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศครั้งใหญ่ ซึ่งมีผลให้เกิดภาวะ “ฤดูหนาวนิวเคลียร์” ที่แสงแดดลดลง อุณหภูมิเย็นลง และส่งผลให้ระบบนิเวศหลายส่วนล่มสลาย

(ซ้าย) ภาพถ่ายดาวเทียมแสดงตำแหน่งการตกของอุกกาบาตชิคซูลูป บริเวณคาบสมุทรยูคาทาน ประเทศเม็กซิโก (ขวา) แผนที่การสำรวจธรณีฟิสิกส์ด้วยวิธีแรงโน้มถ่วง (gravity) แสดงโครงสร้างของหลุมอุกกาบาต

3) การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การชนของอุกกาบาตขนาดใหญ่ยังทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อุกกาบาตขนาดใหญ่สามารถทำให้ฝุ่นและเศษซากพุ่งขึ้นไปในชั้นบรรยากาศ ส่งผลให้แสงแดดไม่สามารถผ่านเข้ามาได้เต็มที่ ทำให้อุณหภูมิลดลง

แผนที่โลกแสดงการกระจายตัวของดาวเคราะห์น้อยที่เคยเข้ามาในชั้นบรรยากาศในช่วงปี ค.ศ. 1994-2013 สีเหลืองตรวจวัดได้ช่วงกลางวัน สีน้ำเงินตรวจวัดได้ในเวลากลางคืน (ที่มา : www.jpl.nasa.gov)

อุกกาบาตในประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของมนุษย์

อุกกาบาตเป็นสิ่งที่สร้างความสนใจให้แก่มนุษย์และมีบทบาทในวัฒนธรรมหลายแห่งตลอดประวัติศาสตร์ ในหลายอารยธรรมโบราณ อุกกาบาตถือเป็นของขวัญจากเทพเจ้า หรือเป็นสัญลักษณ์ของพลังแห่งทวยเทพ ตัวอย่างเช่น

  • อียิปต์โบราณ ชาวอียิปต์โบราณใช้เหล็กจากอุกกาบาตในการทำลูกปัด เนื่องจากเหล็กจากอุกกาบาตเป็นแหล่งเหล็กไม่กี่แหล่งที่มีให้ใช้ในยุคก่อนยุคเหล็ก
  • ชนพื้นเมือง วัฒนธรรมชนพื้นเมืองบางแห่งในอเมริกาเหนือและออสเตรเลียมีตำนานและประเพณีเกี่ยวข้องกับอุกกาบาต ถือว่าอุกกาบาตเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือใช้ในพิธีกรรม
  • ความสำคัญทางศาสนา ศิลาหินดำในเมกกะซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาอิสลามก็เชื่อกันว่าเป็นอุกกาบาต และเป็นวัตถุที่มีความสำคัญทางจิตวิญญาณสูง
  • สัญลักษณ์ในยุคปัจจุบัน อุกกาบาตยังคงเป็นสัญลักษณ์แห่งความลึกลับในวัฒนธรรมสมัยใหม่ นำไปใช้เป็นแรงบันดาลใจในเรื่องราว ภาพยนตร์ และการสำรวจทางวิทยาศาสตร์ เป็นเครื่องเตือนใจถึงความกว้างใหญ่ของจักรวาล

เพิ่มเติม :

การเก็บสะสมอุกกาบาต

การค้นหาและเก็บรวบรวมอุกกาบาตเป็นงานที่ท้าทาย โดยเฉพาะในแหล่งธรรมชาติที่ห่างไกล ตัวอย่างของแหล่งเก็บรวบรวมอุกกาบาตได้แก่ ทวีปแอนตาร์กติกาและทะเลทรายต่าง ๆ ซึ่งเหมาะแก่การค้นหาอุกกาบาตเนื่องจากอุกกาบาตมีสีเข้มสามารถแยกจากพื้นผิวได้ง่าย

แอนตาร์กติกาและทะเลทราย ทวีปแอนตาร์กติกาและทะเลทรายมีลักษณะภูมิประเทศที่ช่วยให้สามารถหาอุกกาบาตได้ง่ายกว่า เพราะภูมิประเทศที่แห้งแล้งทำให้อุกกาบาตได้รับการเก็บรักษาเป็นอย่างดีและนำไปสู่พื้นผิวได้ง่าย

การตรวจสอบอุกกาบาต ไม่ใช่หินทุกก้อนที่ดูแปลกจะเป็นอุกกาบาต นักวิทยาศาสตร์ใช้การทดสอบหลายประเภท เช่น การตรวจสอบส่วนประกอบของโลหะ ความหนาแน่น ความเป็นแม่เหล็ก และองค์ประกอบไอโซโทป เพื่อยืนยันว่าหินนั้นเป็นอุกกาบาตจริง

เพิ่มเติม : 6 วรรณะของ “เทหวัตถุ” ในระบบสุริยะ

เหตุการณ์ Tunguska ต้นไม้ถูกล้มและถูกเผาไปในพื้นที่หลายร้อยตารางกิโลเมตร จากการกระทบของอุกกาบาต Tunguskaภาพนี้ถูกถ่ายเมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1929 ระหว่างการสำรวจของ Leonid Kulik (ที่มา : https://en.wikipedia.org)

แถบดาวเคราะห์น้อยในระบบสุริยะ

การวิจัยและการสำรวจในอนาคต

เมื่อเทคโนโลยีก้าวหน้า การศึกษาวิจัยอุกกาบาตก็ก้าวหน้ายิ่งขึ้น ทิศทางการวิจัยที่มีความสำคัญในอนาคต ได้แก่

  • ภารกิจสำรวจดาวเคราะห์น้อย ภารกิจของญี่ปุ่นเช่น ฮายาบูสะ และโครงการ OSIRIS-REx ของ NASA ประสบความสำเร็จในการเก็บตัวอย่างจากดาวเคราะห์น้อยและนำกลับมายังโลก เพื่อให้นักวิทยาศาสตร์สามารถวิเคราะห์วัสดุที่ยังไม่ผ่านการเปลี่ยนแปลงจากกระบวนการในชั้นบรรยากาศโลกได้
  • การวิเคราะห์ขั้นสูง เทคโนโลยีอย่างการวิเคราะห์ด้วยรังสีเอกซ์ การส่องกล้องอิเล็กตรอน และแมสสเปกโตรมิเตอร์ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์สามารถศึกษาถึงระดับอะตอม ทำให้ได้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับองค์ประกอบและโครงสร้างของอุกกาบาต
  • การศึกษาเคมีอินทรีย์ นักวิจัยศึกษาสารประกอบอินทรีย์ในอุกกาบาตเพื่อทำความเข้าใจถึงความเป็นไปได้ของการกำเนิดสิ่งมีชีวิตในอวกาศ

สรุป อุกกาบาตไม่ใช่เพียงหินจากอวกาศเท่านั้น แต่มันยังเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ช่วยให้เราเข้าใจถึงการก่อตัวของระบบสุริยะและต้นกำเนิดของสิ่งมีชีวิตบนโลก การศึกษาอุกกาบาตช่วยเปิดเผยถึงกระบวนการภายในดาวเคราะห์ การชนขนาดใหญ่ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงต่อสภาพแวดล้อม รวมถึงการสร้างตำนานและวัฒนธรรมของมนุษย์ตลอดประวัติศาสตร์

. . .
บทความล่าสุด : www.mitrearth.org
เยี่ยมชม facebook : มิตรเอิร์ธ – mitrearth

Share: