![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2019/10/4-65-7-750x375.jpg)
พวกเราเคยสงสัยกันบ้างไหมว่า ทำไมในหนังจักรๆ วงศ์ๆ ของไทย หรือหนังกำลังภายในของจีน ทั้งจอมยุทธ์และฤๅษีต้องหนีไปอยู่ในถ้ำ ใช่ครับ !!! นั่นก็เพราะว่าถ้ำเป็นสถานที่สงบ ไม่มีสิ่งเย้ายวน ซึ่งด้วยคุณสมบัติพิเศษแบบนี้ที่มีอยู่เกือบทุกถ้ำ นอกจากจะเป็นที่พักใจของฤๅษี ชี พราหมณ์แล้ว ถ้ำก็เหมือนกับแคปซูลเวลาชั้นดี ที่คอยเก็บบันทึกเรื่องราวของโลกไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในอดีต (Lachniet, 2009) หรือแม้กระทั่งเหตุการณ์แผ่นดินไหวใหญ่ๆ ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต (Becker และคณะ, 2006)
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2019/10/4-65-6.jpg)
ถึงตรงนี้ บางคนอาจจะสงสัยว่า แผ่นดินไหวมันไปเกี่ยวอะไรกับถ้ำ ก่อนอื่นผมขออธิบายคำศัพท์เฉพาะก่อนว่า ตะกอนถ้ำ (speleothem) หมายถึง รูปลักษณ์ภายในถ้ำที่เกิดจากกระบวนการผุพังและสะสมตัวทางเคมีของสารประกอบแคลเซียมคาร์บอเนต (CaCO3) ซึ่งมีมากในหินปูน หรือหินโดโลไมต์ ปัจจุบันคนในวงการถ้ำ มองและจำแนกตะกอนถ้ำไว้หลายประเภท แต่ที่เราคุ้นหูชินตากันมากที่สุดก็คือ หินงอก (stalagmite) และ หินย้อย (stalactite) นั่นแหละครับ
ปัจจุบันในแวดวงวิชาการเริ่มมี การศึกษาแผ่นดินไหวจากตะกอนถ้ำ (Speleoseismology) โดยอาศัยหลักการสืบค้นความผิดปกติ ในการสะสมตัวของตะกอนถ้ำ อันเป็นผลมาจากแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหว จากประสบการณ์ในการสำรวจถ้ำมายาวนาน Becker และคณะ (2006) ได้รวบรวมและสรุปกรณีศึกษาที่ความผิดปกติของตะกอนถ้ำนั้นสื่อถึงการเลื่อนตัวของรอยเลื่อนหรือเหตุการณ์แผ่นดินไหวใหญ่ในอดีต
ไอเดีย 1
แนวคิดแรกที่จะนำเสนอ คือเริ่มจาก ตะกอนถ้ำสะสมตัวเป็นหินย้อยที่เพดานถ้ำ ในขณะที่พื้นสะสมตามระนาบปกติ จากนั้นเมื่อเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ หินย้อยบางส่วนมีโอกาสแตกหักหล่นลงมา กองสะสมตัวอยู่ที่พื้น ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป การสะสมตามระนาบปกติที่พื้นก็จะปิดทับเศษหินย้อยเหล่านั้นไว้ หรือถ้าเกิดแผ่นดินไหวใหญ่หลายครั้ง นักแผ่นดินไหวก็สามารถรู้ได้จากจำนวนชั้นที่เศษหินย้อยนั้นสะสมตัวอยู่
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2019/10/4-65-2.jpg)
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2019/11/4-65-8.jpg)
ซึ่งถ้าสามารถบอกอายุชั้นตะกอนตามพื้นปกติที่สะสมก่อนและหลังชั้นเศษหินย้อย เราก็คงเดาอายุแผ่นดินไหวได้ไม่ยาก และด้วยความที่หินงอกหินย้อยมีองค์ประกอบของแคลเซียมคาร์บอเนต ดังนั้นจึงสามารถใช้วิธีคาร์บอน-14 หรือวิธีการเรืองแสงความร้อนในการกำหนดอายุได้ทั้งคู่
ไอเดีย 2
รูปแบบที่ 2 ของการสะสมตัวผิดปกติของตะกอนถ้ำ คือ การเปลี่ยนทิศทางการพอกของหินย้อย โดยคิดว่าเกิดจากหินย้อยกำลังพอกตัวอยู่ดีๆ ก็มีแรงสั่นสะเทือนทำให้แท่งหินย้อยแตกหัก หล่นลงไปนอนแอ้งแม้งตะแคงอยู่ที่พื้น จากนั้นจึงมีการหยดตะกอนลงมาสะสมตัวในอีกทิศทาง ทำให้เกิดการสะสมแบบไม่ต่อเนื่องกันของตะกอนถ้ำ
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2019/10/4-65-3.jpg)
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2019/11/4-65-9.jpg)
ไอเดีย 3
บางครั้งแผ่นดินไหวไม่ได้ทำให้หินงอกหัก แต่ผลจากแผ่นดินไหว ทำให้ถ้ำเอียงตัวเล็กน้อย หินย้อยที่หยดลงมากลายเป็นหินงอกนั้นพอกแบบเอียงๆ เฉียงกับหินงอกเดิม แบบนี้นักแผ่นดินไหวก็ทึกทักได้ว่าเกิดจากแผ่นดินไหวเหมือนกัน ซึ่งถ้ากำหนดอายุได้ 2-3 จุดตามรูปด้านล่าง นักแผ่นดินไหวก็สามารถโม้ต่อได้อีกว่ามันไหวตอนไหน
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2019/10/4-65-4.jpg)
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2019/11/4-65-10.jpg)
ไอเดีย 4
รูปแบบถัดมาคือการถูกขัดจังหวะในการพอกของหินงอก เนื่องจากแผ่นดินไหวทำให้บางส่วนแตกหักและขาดหายไป ทำให้การพอกหินงอกขึ้นมาใหม่นั้นไม่ต่อเนื่องเป็นเรื่องเป็นแนวเดียวกัน ซึ่งถ้าอยากรู้ว่ามันสั่น มันหักเมื่อไหร่ ก็ลองหาอายุของชั้นนอกสุดของส่วนที่หักออกไป และส่วนที่อยู่ข้างในสุดของการพอกใหม่อีกครั้ง เท่านี้ก็บอกได้ว่า ช่วงไหนที่แผ่นดินไหวมันเคยมาเยี่ยม
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2019/10/4-65-5.jpg)
ไอเดีย 5
กรณีสุดท้ายที่ Becker และคณะ (2006) เสนอไว้ คือกรณีที่มีรอยเลื่อนตัดผ่านตัวถ้ำ ซึ่งเมื่อมีการเลื่อนตัวของรอยเลื่อน ตำแหน่งของหินย้อยซึ่งบางส่วนหล่นมากลายเป็นหินงอก เลื่อนออกจากตำแหน่งเดิม ทำให้เกิดการพอกของหินงอกในตำแหน่งใหม่ ซึ่งถ้าเราหาอายุชั้นพอกสุดท้ายของหินงอกเดิมและชั้นพอกในสุดของหินงอกใหม่ เราก็จะรู้เวลาการเลื่อนตัวของรอยเลื่อนนั้นได้
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2019/10/4-65-1.jpg)
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2019/11/4-65-11.jpg)
นี่แหละครับ บางตัวอย่างไอเดีย ที่นักแผ่นดินไหวพยายามนัก พยายามหนาเพื่อให้ได้มาซึ่งประวัติการเกิดแผ่นดินไหว ทำไม่ต้องพยายามกันขนาดนี้หรือครับ ก็เพราะแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในอดีตนานๆ ส่วนใหญ่เป็นแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ ในระดับที่สามารถส่งผลกระทบต่อเราได้ ดังนั้นการศึกษาประวัติการเกิด คาบอุบัติซ้ำของแผ่นดินไหวเหล่านี้ จะช่ว่ยให้พวกเราเห็นภาพได้ชัดขึ้นว่า แผ่นดินไหวใหญ่ๆ เคยเกิดขึ้นบ้างไหมในพื้นที่ และจะมาอีกทีเมื่อไหร่
. . .
บทความล่าสุด : www.mitrearth.org
เยี่ยมชม facebook : มิตรเอิร์ธ – mitrearth