![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2023/12/24-42-0-750x375.jpg)
ในวัฒนธรรมเขมรโบราณ เพื่อที่จะสำรองน้ำไว้ใช้ แต่ละชุมชนนิยมสร้างภาชนะกักเก็บน้ำ 2 รูปแบบ คือ
1) ตระพัง หมายถึง สระน้ำขนาดเล็กรูป 4 เหลี่ยมผืนผ้าเป๊ะๆ กว้างประมาณ 200-300 เมตร ยาวประมาณ 400-600 เมตร ซึ่งด้วยความที่ขนาดตระพังอยู่ในวิสัยที่พอขุดได้ การสร้างตระพังจึงเริ่มจากการขุดพื้นที่ให้ลึกลงไปจากระดับดินเดิม และนำดินที่ขุดได้มาโป๊ะเป็นคันดินโดยรอบสระ ในประเทศไทย โดยเฉพาะแถบภาคอีสาน พบตระพังมากมายกระจายอยู่ทั่วไป และมักจะพบอยู่คู่กับปราสาทในวัฒนธรรมเขมรโบราณ นอกจากนี้ในบางพื้นที่ราบลุ่มภาคกลาง ก็พบตระพังได้เช่นกัน เช่น ตระพังเงิน ตระพังทอง ตระพังสอ และตระพังตะกวน ของเมืองสุโขทัย เป็นต้น
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2023/03/24-45-4-1024x927.jpg)
2) บาราย คือ แหล่งน้ำขนาดใหญ่ของชุมชน ในวัฒนธรรมเขมรโบราณ กว้าง x ยาว หลักกิโลเมตร ซึ่งถือว่าใหญ่มากเมื่อเทียบกับตระพัง และด้วยความใหญ่ ทำให้การสร้างไม่ได้มีการขุดพื้นที่ให้ลึกลงไป ใช้เพียงการขูดดินบางส่วน แถวๆ ขอบบาราย มาปั้นเป็นคันดิน ล้อมรอบพื้นที่ราบดั้งเดิม เพื่อกักเก็บน้ำ ตัวอย่างเช่น บารายต่างๆ ในพื้นที่เมืองพระนคร ประเทศกัมพูชา ดังนั้น ตระพัง และ บาราย จึงแตกต่างกันทั้งในแง่ขนาด และระดับท้องน้ำของแหล่งน้ำ
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2023/03/24-45-1-1024x603.jpg)
บารายในประเทศไทย (บางส่วน)
นอกเหนือจากประเทศกัมพูชาในประเทศไทยก็มีบารายในวัฒนธรรมเขมรโบราณ กระจายตัวอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะในแถบภาคอีสานของไทย ตัวอย่างเช่น
1) บาราย ปราสาทหินพิมาย จากภาพถ่ายดาวเทียมในโปรแกรม Google Earth จะเห็นว่าทางตะวันออกของตัวปราสาทหินพิมาย จ. นครราชสีมา มีสระน้ำขนาดย่อมอยู่ ซึ่งด้วยขนาดที่เล็กและระดับท้องน้ำที่ลึก แหล่งน้ำนี้จึงถูกนิยามว่าคือ ตระพัง ในทางโบราณคดี
อย่างไรก็ตาม บาราย ที่แท้จริงจะอยู่ทางทิศใต้ของตัวปราสาท โดยสภาพปัจจุบันของคันดินรอบบาราย กลับกลายเป็น ถนน ที่วิ่งรอบพื้นที่เป็นกรอบสี่เหลี่ยม มีขนาด กว้าง X ยาว อยู่ที่ 0.75 x 1.80 ตร.กม. (ดูรูปประกอบ) โดยพื้นที่กลางบาราย ถูกแปลงไปใช้ในการเกษตรกรรม
ตำแหน่งใน google map : อุทยานประวัติศาสตร์พิมาย อ. พิมาย จ. นครราชสีมา
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2023/03/24-45-3-1024x791.jpg)
2) บารายหนองบัวลาย ปราสาทหินพนมรุ้ง และ บารายเมืองต่ำ ปราสาทเมืองต่ำ ด้วยขนาดของบารายคู่บารมี คิดว่าทั้งปราสาทหินพนมรุ้งและเมืองต่ำ คงมีความสำคัญก็ไม่ธรรมดา เพราะเมื่อวัดขนาดของบารายที่อยู่ทางตอนเหนือของตัวปราสาทเมืองต่ำ พบว่ามีขนาด 1.1 x 0.55 กิโลเมตร ส่วนด้านกว้าง ก็ 0.5 กิโลเมตรโดยประมาณ ในขณะที่บารายหนองบัวลาย ซิ่งอยู่เชิงเขาพนมรุ้ง มีขนาด 0.35 x 0.70 ตร.กม. เล็กกว่าของปราสาทหินเมืองต่ำอยู่เล็กน้อย
ตำแหน่งใน google map : ปราสาทเมืองต่ำ อ. เฉลิมพระเกียรติ จ. บุรีรัมย์
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2023/03/24-45-7-1024x545.jpg)
3) บาราย (ที่หายไป) ปราสาทพนมวัน โดยที่สระน้ำเก่าแก่ ที่อยู่ทางตะวันออกของตัวปราสาทหินพนมวัน คือ ตระพัง (รูปบนสุดในบทความนี้) ส่วนตัวบางรายที่แท้จริง มีขนาดใหญ่ อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ ซึ่งปัจจุบันถูกทำลายไปหมดสิ้นแล้ว จากการปรับเปลี่ยนการใช้ประโยชน์ที่ดินของชาวบ้านในปัจจุบัน (ที่มา : รศ. ดร. สฤษดิ์พงศ์ ขุนทรง)
![](https://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2023/12/img_3803-1024x597.jpg)
ภาพถ่ายทางอากาศ ปี พ.ศ. 2517 เผยให้เห็นบาราย ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของตัวปราสาท ปัจจุบันทั้งบาราย ถูกปรับพื้นที่เพื่อการเกษตรกรรมแล้ว (ที่มา : รศ.ดร. สฤษดิ์พงศ์ ขุนทรง)
4) บารายบ้านถนนหัก จากการแปลภาพถ่ายทางอากาศ ที่ถ่ายเอาไว้ในปี พ.ศ. 2497 รศ. ดร. สฤษดิ์พงศ์ ขุนทรง (2021) รายงานการมีอยู่ของบารายขนาด 0.50 x 1.20 ตร.กม. ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของตัว ปราสาทบ้านถนนหัก อ. หนองบุญมาก จ. นครราชสีมา ซึ่งแม้ในสภาพปัจจุบัน ยังสามารถเห็นโครงสร้างคันดินรอบบารายยังเห็นชัดเจนในรูปแบบถนน และพื้นที่กลางบารายกลายเป็นพื้นที่เกษตรกรรม
ตำแหน่งใน google map : ปราสาทบ้านถนนหัก อ. หนองบุญมาก จ. นครราชสีมา
นอกจากนี้ในภาคอีสานของไทยยังมีบางรายซ่อนตัวอยู่อีกมากมาย แต่ประชาชนในพื้นที่แถวนั้นอาจจะไม่รู้จัก ทั้งนี้ก็เพราะกาลเวลาผ่านไปนับพันปี บวกกับพื้นที่บางรายในปัจจุบันไม่มีน้ำหลงเหลือ ไม่เป็นพื้นที่ลุ่มต่ำเพราะเดิมไม่ได้ขุดลงไปจากผิวดิน ทำให้ปัจจุบัน พื้นที่บารายเดิม ที่เคยกักเก็บน้ำไว้กินไว้ใช้ ในสมัยวัฒนธรรมเขมรโบราณ จึงถูกปรับเปลี่ยนการใช้ประโยชน์ที่ดินไปเป็นอย่างอื่น ตัวอย่างเช่น ปราสาทสระหิน ต. ตะคุ อ. ปักธงชัย จ. นครราชสีมา และ ปราสาทมีชัย (หมื่นชัย) ต. กระเทียม อ. สังขะ จ. สุรินทร์ ซึ่งปัจจุบันขอบคันบารายกลายเป็นถนน และภายในบางรายเอง ก็กลายเป็นนาข้าว ไร่อ้อยอย่างไม่เหลือเค้าเดิมให้คนในพื้นที่จดจำ
![](https://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2023/12/24-42-2-637x1024.jpg)
เพิ่มเติม : ปราสาทหินกลางน้ำ : ความน่าจะมี ในหลายที่ของไทย
จากบารายบางส่วน ที่ยกตัวอย่างมาในข้างต้น จะสังเกตเห็นว่าบารายส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในประเทศไทยจะเหลือเพียงซากคันดินบนพื้นที่แห้งไร้น้ำหล่อเลี้ยง ประเด็นที่น่าสนใจคือทำไมบารายถึงแห้ง แห้งตอนไหน แห้งตอนช่วงที่ยังใช้งาน หรือแห้งภายหลังจากอาณาจักรล่มสลาย เหตุผลของคนทั่วไปอาจจะคิดว่าเมื่อเวลาผ่าน ตะกอนสะสม บารายก็ตื้นเขินและแห้งเป็นธรรมดา หรือบางงานวิจัยก็พยายามสรุปว่า แห้งเพราะ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate change) ซึ่งนอกเหนือจากเหตุผลเหล่านี้ในทางธรณีวิทยา ก็สามารถอธิบายอย่างเป็นเหตุเป็นผลได้ 3 ประเด็น คือ
1) ทางไหลของตะกอน
จากการวิเคราะห์ข้อมูลทางภูมิศาสตร์ พบว่าเมืองหรือปราสาทในวัฒนธรรมเขมรโบราณส่วนใหญ่ มักจะสร้างอยู่บนเนิน หรือปลาย เนินตะกอนรูปพัด (alluvial fan) ที่อยู่ติดกับธารน้ำหรือแม่น้ำสายใหญ่ บวกกับ บารายส่วนใหญ่ต้องการสร้างให้ตรงแนวแกนของตัวปราสาท หรือสร้างที่ปลายเนินตะกอนรูปพัด ดังนั้นในหลายๆ พื้นที่บารายในประเทศไทย เมื่อเวลาผ่านไปพบว่า มวลตะกอนจากเนินที่ตั้งปราสาทหรือปลายเนินตะกอนรูปพัดจะไหลมาทับถมตัวบารายฝั่งใดฝั่งกนึ่งจนตื้นเขิน ตัวอย่างเช่น ปราสาทบ้านพลวง ต. บ้านพลวง อ. ปราสาท จ. สุรินทร์ และ บารายเมืองสุโขทัย จ. สุโขทัย ที่พบหลักฐานว่ามวลดินจากเนินที่กลางเมือง ไหลหลากมาทับถมจนตัวบารายนั้นตื้นเขิน
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2019/10/14-2-0-1024x536.jpg)
![](https://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2023/12/24-42-1-967x1024.jpg)
![](https://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2023/12/24-42-3-1024x807.jpg)
อีกหนึ่งตัวอย่างของการตั้งเมืองใกล้เนินตะกอนและถูกรบกวน คือ เมืองโบราณอู่ทอง ซึ่งตั้งคาบเกี่ยวอยู่ในพื้นที่ ที่มีการผุพังของตะกอนจากเทือกเขาทางตะวันตก และพัดพาลงมาสู่ที่ราบทางตะวันออก หรือที่เรียกในทาง สัณฐานวิทยา (morphology) ว่า เนินตะกอนเชิงเขา (colluvium) ส่งผลให้คูเมืองฝั่งตะวันตกถูกรบกวนด้วยตะกอนที่ไหลหลากลงมาและต้องมีการขุดลอกคันดินอยู่บ่อยครั้ง
เพิ่มเติม : ธรณีวิทยาโบราณคดี เมืองโบราณอู่ทอง
![](https://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2023/03/24-39-2-924x1024.jpg)
2) ห่างไกลระดับน้ำใต้ดิน
ถ้าเราสังเกตดีๆ ถึงแม่น้ำในธรรมชาติ ก็จะพบว่า บางแม่น้ำทำไมมีน้ำเต็มอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่บางแม่น้ำกลับมีน้ำในช่วงบางฤดูกาล ซึ่งเรื่องนี้เป็นความสัมพันธ์กันระหว่าง น้ำผิวดิน (surface water) ที่อยู่ในแม่น้ำและ ระดับน้ำใต้ดิน (water table) ในบริเวณนั้น โดยสืบเนื่องจากความแตกต่างของระดับน้ำใต้ดินในแต่ละพื้นที่ ทำให้มีการถ่ายเทมวลน้ำระหว่างธารน้ำบนผิวดินและน้ำใต้ดิน
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2019/12/9-1-2-1024x471.jpg)
ซึ่งในกรณีของบาราย ที่แค่สร้างคันกั้นน้ำในพื้นที่ราบ ไม่ได้ขุดให้ลึกลงไปใกล้ระดับน้ำใต้ดิน โอกาสแห้งจึงมีสูงกว่า ตระพัง ทั้งนี้เนื่องจากระดับของน้ำของตัวบารายอยู่สูงกว่าระดับน้ำใต้ดินอย่างมาก ทำให้ในทุกๆ วัน น้ำในตัวบางรายจะไหลซึมลงไปสู่ระดับน้ำใต้ดิน ซึ่งเป็นกระบวนการทางธรรมชาติของการถ่ายเทน้ำผิวดินไปสู่การเป็นน้ำใต้ดิน ส่วนในกรณีของบารายในประเทศกัมพูชา สาเหตุที่ไม่แห้งนั้น ทั้งนี้เพราะบารายส่วนใหญ่ในประเทศกัมพูชามักจะสร้างบน ที่ราบน้ำท่วมถึง (floodplain) ที่ติดกับทะเลสาบเขมร (โตนเลสาบ) มีน้ำใต้ดินรองรับอยู่ตื้น และพื้นผิวฉ่ำน้ำอยู่ตลอด เวลา ทำให้ไม่บารายในแถบนั้นจึงไม่แห้ง
![](https://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2019/07/9-2-0.jpg)
3) พื้นที่จ่ายน้ำ
ในธรรมชาติ น้ำใต้ดินจะเคลื่อนที่ได้ ซึ่งเมื่อพิจารณาการเคลื่อนที่ของน้ำใต้ดิน นักธรณีวิทยาจำแนกพื้นที่บนผิวดินออกเป็น 2 ชนิด 1) พื้นที่รับน้ำ (recharge area) เป็นพื้นที่ซึ่งรับน้ำจากผิวดินหรือฝนที่ตกลงมาและไหลซึมเข้าเติมในระบบของน้ำใต้ดิน ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเป็นที่สูง 2) พื้นที่จ่ายน้ำ (discharge area) ซึ่งเป็นพื้นที่ลุ่มต่ำ ที่น้ำใต้ดินจ่ายน้ำให้กับธารน้ำหรือน้ำผิวดินอื่นๆ
เพิ่มเติม : ชั้นน้ำใต้ดินและการเคลื่อนที่
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2019/12/9-2-2.jpg)
จากการสำรวจทางภูมิศาสตร์ ของบารายบางส่วนในภาคอีสานของไทย พบว่าด้วยความที่บารายในประเทศไทยส่วนใหญ่ มักสร้างอยู่บนแนวสันเนิน ดังนั้นสภาพบารายจึงก็ไม่ต่างอะไรไปกับการทำธนาคารน้ำใต้ดิน ที่รับน้ำฝนที่ตกลงมาจากฟ้าหรือน้ำผิวดินที่ไหลมาจากลำคลอง เมื่อมวลน้ำถูกขังอยู่ในบางราย เมื่อเวลาผ่านไปน้ำก็มักจะซึมลงไปใต้ดินด้านล่าง และคอยจ่ายน้ำให้พื้นที่อื่นๆ ที่อยู่ต่ำกว่า
อีกดรณีคือ ระดับน้ำใต้ดินในพื้นที่ใดๆ สามารถเปลี่ยนแปลงได้ในแต่ละช่วงเวลาหรือฤดูกาล เช่น ในฤดูฝน ปริมาณน้ำมาก ระดับน้ำใต้ดินสูงกว่าระดับท้องน้ำ บารายจึงเปรียบเป็นบาราย พื้นที่จ่ายน้ำ (discharge area) ไม่ปล่อยน้ำไปให้ใคร ในขณะที่ฤดูแล้ง ระดับน้ำใต้ดินต่ำลง บารายจึงเป็นบารายประเภท พื้นที่รับน้ำ (recharge area) ที่คอยรับน้ำมาจากที่อื่น และจ่ายออกลงสู่ใต้ดิน เป็นต้น
![](https://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2023/12/24-42-0-1024x536.jpg)
สรุป 1) แค่คันกั้นน้ำ เหมือนเอาดินน้ำมันมาปั้นขอบ ด้วยความที่ไม่ไหวจะขุด ท้องบารายจึงไม่แตะระดับน้ำใต้ดิน โอกาสแห้งจคงมีสูง 2) เมืองมักอยู่บนเนิน แต่อยากสร้างบารายคู่บารมีไว้ใกล้ๆ (เนิน) เมื่อเวลาผ่าน ตะกอนจคงไหลมาถมจนตื้นเขิน ดูอย่างบ้านพลวงและสุโขทัย 3) บารายในหลายๆ ที่ อยู่บนแนวสันเนิน ต่อให้มีน้ำพื้นผิวเข้ามาเติมอยู่ในบาราย สุดท้ายบารายก็ต้องจ่ายน้ำให้คนอื่นอยู่ดี และนี่ก็คือธรรมชาติ ที่อธิบายได้ด้วยหลักการทางธรณีวิทยา ว่าทำไมบารายในเมืองไทยเราก็มี แต่ที่มีมักแห้ง
. . .
บทความล่าสุด : www.mitrearth.org
เยี่ยมชม facebook : มิตรเอิร์ธ – mitrearth