
สะพานพระราม (Rama’s Bridge) หรือที่เรียกอีกชื่อว่า สะพานอดัม (Adam’s Bridge) เป็น ภูมิลักษณ์ (landform) ทางทะเล ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ มีลักษณะเป็นเหมือนแนวสันทรายที่ทอดยาว เชื่อมระหว่าง 1) ทางตอนใต้ของประเทศอินเดีย แผ่นดินใหญ่ และเกาะยักษ์ที่ห่างออกไปอย่าง 2) ประเทศศรีลังกา หากมองมุมสูงจากภาพถ่ายดาวเทียม จะดูเหมือนเป็นแนวถนนแคบๆ ยาวประมาณ 30 กิโลเมตร และก้ำๆ กึ่งๆ เหมือนจะสามารถใช้เป็นเส้นทางสัญจรไป-มาได้ ระหว่างศรีลังกา-อินเดีย

หากมองใกล้ๆ ในพื้นที่ จะพบว่าสะพานพระรามมีฐานเป็นเศษปะการังก้อนเล็กๆ ใหญ่ๆ ทับถมและปะปนอยู่กับแนวสันทรายที่ทอดตัวยาวปริ่มน้ำ โดยตามตำนานหรือคติความเชื่อของคนในพื้นที่เชื่อว่า ถนนหรือสะพานพระรามแห่งนี้ เกิดจากการที่ พระราม สั่งให้ หนุมานและเหล่ากองทัพวานร ช่วยกันขนหินขนทราย มาถมทะเลให้เป็นสะพาน เพราะท่านอยากจะข้ามจากอินเดียแผ่นดินใหญ่ ไปกรุงลงกา (ศรีลังกา) เพื่อที่จะชิงตัวนางสีดา ภรรยาสุดที่รัก คืนมาจากทศกันต์

เรื่องราวของตำนานการสร้างสะพานพระราม คนในพื้นที่จะเชื่อจริงหรือไม่ อันนี้ไม่แน่ใจ แต่แค่มองภาพจากระยะไกล นักธรณีวิทยาก็รู้ว่าเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และเมื่อนำหลักการทางธรณีวิทยาเข้ามาอธิบาย สะพานพระรามเกิดเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาได้ก็เนื่องมาจาก 3 ลำดับเหตุการณ์ ทางธรณี
1) หินฐานเดิม กอนด์วานา
ในทาง ธรณีแปรสัณฐาน (tectonic) จริงๆ แล้วทั้งอินเดียและศรีลังกาเป็น แผ่นเปลือกโลกทวีป (continental plate) เดียวกันมาตั้งแต่ มหายุคพรีแคมเบียน (Precambrian) และอยู่เป็นแผ่นเดียวกันเรื่อยมาจนกระทั่ง มหาทวีปแพนเจีย (Pangaea Supercontinent) เริ่มแตกออกจากกันเมื่อประมาณ 200 ล้านปีก่อน ซึ่งในตอนนั้นแผ่นเปลือกโลกส่วน อินเดีย-ศรีลังกา เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มเปลือกโลกทางตอนใต้ของมหาทวีปแพนเจีย ที่เรียกว่า กอนด์วานาแลนด์ (Gondwanaland)
ด้วยกระบวนการเคลื่อนที่และกิจกรรมต่างๆ ทางธรณีแปรสัณฐานตลอดระยะเวลา 200 ล้านปีที่ผ่านมา ทั้งการที่แผ่นเปลือกโลกอินเดียวิ่งไปชนแผ่นเปลือกโลกยูเรเซีย หรือการเกิดและเปิดออกของมหาสมุทรอินเดีย แต่ทั้งหมดก็ไม่ได้ทำให้อินเดียและศรีลังกาเคยแยกออกจากกัน แม้จะมีการบิดการเบี้ยวของแผ่นเปลือกโลกไปบ้าง (รูปด้านล่าง) แต่การที่เห็นในทางภูมิศาสตร์ว่าเป็นคนละเกาะกัน อันนี้ก็เนื่องมาจากการขึ้น-ลง ของระดับน้ำทะเลในช่วงสมัย ไพลสโตซีน (Pleistocene) ทำให้เราเห็นว่ามีน้ำทะเลท่วมทวีป กั้นขวางระหว่างศรีลังกาและอินเดีย
เพิ่มเติม : 4 หลักฐานชวนเชื่อ “ทวีปเคลื่อนที่ได้” กับความชอกช้ำของเวเกเนอร์
อินเดีย-ศรีลังกา คือ ทวีปเดียวกัน ที่มีส่วนของแผ่นทวีป ที่จมน้ำบางส่วน ขวางกั้นระหว่างทวีปที่สูง (กว่า) สองฝั่งของอินเดียและศรีลังกา

2) ประการังนอกฝั่ง
ด้วยสภาพการณ์หรือความบังเอิญ ที่หินฐานธรณีใต้ทะเลระหว่างอินเดียและศรีลังกา มีความตื้นเขินเป็นแนว มีแสงแดดส่องถึงพื้นทะเล และมีความเข้มข้นของแคลเซียมคาร์บอเนต (CaCO3) เพียงพอ เหมาะให้ประการังเติบโต พอปะการังเกิด-ตายๆ ก็กลายเป็นเศษหินโสโครก หรือเศษปะการัง ทับถมอยู่บนฐานหินเก่า กลายเป็นฐานรากให้กับสะพานพระรามได้อย่างดี

3) สันทราย ชายหาด
กระบวนการสุดท้ายและท้ายที่สุด เพราะแนวตื้นเขินของหินเก่า บวกกับเศษปะการังที่เกิด-ตาย ทับถมกัน ทำให้แนวเศษหินโสโครกทางธรณีวิทยาหรือ ฐานสะพานพระรามตามความเชื่อ จึงอยู่หมิ่นเหม่ ปริ่มน้ำสุดๆ มีศักดิ์ศรีเหมือนกับพื้นที่ริมทะเล กระบวนการที่เกิดตามมาจึงเป็นหน้าที่ของกระแสคลื่นทะเลริมฝั่ง ที่เรียกว่า กระแสคลื่นขนานฝั่ง (longshore current) ซึ่งก็คือ คลื่นน้ำที่เคลื่อนที่เป็นมุมกับชายฝั่ง (หรือแนวสะพานพระรามในเรื่องนี้) ทำให้คลื่นซัดหาดขึ้น-ลงในแนวเฉียงไปด้านข้างเป็นระรอก และด้วยการกลับไป-มาของคลื่น ทำให้คลื่นหอบเม็ดทรายเลื่อนออกไปด้านข้าง ขนานไปกับชายฝั่งเป็นระยะ (longshore drift หรือ littoral drift) ค่อยๆ กระดืบตะกอนทรายมาแปะแล้วปั้นไว้เป็นแนวๆ ทับถมอยู่บนแนวปะการัง กลายเป็นสะพานพระรามหรือในทาง ธรณีวิทยาชายฝั่ง (coastal geology) เรียกว่า สันทรายเชื่อมเกาะ (tombolo)



4) สรุป
- ฐานสะพาน = หินเก่าเดิมๆ ได้มาเป็นแนวเพราะ ธรณีแปรสัณฐาน (tectonic process)
- เศษหินบนฐานสะพาน = แนวปะการัง (coral reef) ที่เกิดตรงนั้นแหละ ลิงไม่ได้ขนมา
- ทรายชั้นบนสุด = กระแสคลื่นขนานฝั่ง (longshore current) ค่อยๆ เขี่ยมาแปะ ลิงก็ไม่ได้ขนมา เหมือนกัน
- เป็นอันว่าจบพิธี จบกระบวนการ
. . .
บทความล่าสุด : www.mitrearth.org
เยี่ยมชม facebook : มิตรเอิร์ธ – mitrearth