![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2019/07/10-3-0-750x375.jpg)
ผลการสำรวจพื้นมหาสมุทรในปัจจุบันบ่งชี้ว่า แอ่งมหาสมุทร (ocean basin) นั้นไม่ได้มีความราบเรียบทั่วทั้งมหาสมุทร แต่ประกอบด้วยภูมิลักษณ์ที่เด่นชัดอย่างน้อย 3-4 รูปแบบ
1) ที่ราบมหาสมุทร
ที่ราบมหาสมุทร (abyssal plain) หมายถึง พื้นที่ราบเรียบและลึก ซึ่งเป็นส่วนที่ต่อเนื่องมาจาก ลาดทวีป (continental rise) ในขอบทวีปสถิต หรือต่อมาจาก ร่องลึกก้นสมุทร (trench) ในขอบทวีปจลน์ ซึ่งที่ราบมหาสมุทรนี้อยู่ห่างไกลและได้รับอิทธิพลจากพื้นทวีปน้อยมาก มีความลึกประมาณ 4,600-5,500 เมตร ถือเป็นภูมิลักษณ์ที่มีพื้นที่มากที่สุดในมหาสมุทร โดยคิดเป็น 42% ของพื้นมหาสมุทรทั้งหมด โดยมีตะกอนตกทับถมหนาเมื่อใกล้ลาดทวีปและบางลงเมื่อใกล้สันเขากลางมหาสมุทร
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2019/10/10-3-5-1024x554.jpg)
2) ภูเขาใต้ทะเล
ภูเขาใต้ทะเล (seamount) คือ ยอดภูเขาไฟลูกโดดใต้ทะเล พบเป็นหย่อม ส่วนใหญ่มีความสูงมากกว่า 700 เมตร โดยส่วนใหญ่พบใกล้กับบริเวณสันเขากลางมหาสมุทร หากมียอดแหลมเรียกว่า ยอดเขาทะเล (seapeak) แต่หากมียอดค่อนข้างแบนราบ เรียกว่า ภูเขาหัวตัดใต้น้ำ (guyot) หรือ ภูเขาไฟโต๊ะ (table mount)
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2019/10/10-3-2-1024x644.jpg)
ภูเขาใต้ทะเล (seamount) จะมีกระบวนการเกิดทางธรณีแปรสัณฐานที่แตกต่างจาก ภูเขาไฟใต้ทะเล (submarine volcano) ซึ่งหมายถึง ภูเขาไฟที่เกิดขึ้นใต้ทะเลที่เกิดตามเขตมุดตัวของแผ่นเปลือกโลก โดยเกิดขึ้นเป็นแนวโค้งติดต่อกัน และหากแนวภูเขาไฟใต้น้ำนั้นโผล่พ้นผิวน้ำ จะเรียกว่า แนวภูเขาไฟรูปโค้งบนทวีป (continental arc)
บางครั้งบริเวณโดยรอบภูเขาใต้ทะเลหรือยอดเขาใต้ทะเล มีแนวปะการังเกิดรอบภูเขาไฟกลางมหาสมุทร เมื่อเกาะภูเขาไฟหยุดปะทุ เย็นและยุบตัว แต่แนวปะการังก็ยังคงสร้างเพิ่มขึ้นสุดท้ายกลายเป็นวงแหวน เรียกว่า หมู่เกาะรูปโค้งปะการัง (atoll) พบมากในบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้ และมหาสมุทรอินเดีย เช่น มัลดีฟส์ หมู่เกาะสิมิลัน และเกาะสีปาดัน ของประเทศมาเลเซีย เป็นต้น
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2019/10/10-3-1-1024x292.jpg)
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2019/10/10-3-4-1024x686.jpg)
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2019/10/10-3-9-1024x536.jpg)
3) สันเขากลางมหาสมุทร
สันเขากลางมหาสมุทร (mid-oceanic ridge) คือ แนวเทือกเขาใต้ทะเลที่มีความชันเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน มีความสูงกว่า ที่ราบมหาสมุทร (abyssal plain) ประมาณ 1-4 กิโลเมตร แอ่นเหมือนกับหลังคาหน้าจั่ว ซึ่งตลอดระยะสันเขากลางมหาสมุทรจะมีรอยแยกขวางแนวสันเขาเป็นช่วงๆ ซึ่งโดยปกติบริเวณแนวสันเขากลางมหาสมุทรจะเป็นการเคลื่อนที่ออกจากกันของแผ่นเปลือกโลก โดยที่ตรงกลางของสันเขากลางมหาสมุทรจะมีร่องลึกเป็นช่องทางให้หินหนืดจากเนื้อโลกไหลออกมาเกิดเป็นหินบะซอลต์ที่เกิดใหม่อยู่ตลอดเวลา ทำให้แผ่นมหาสมุทรเก่าถูกแทนที่และดันให้แยกออกทั้งสองฝั่งของสันกลางอย่างช้าๆ
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2019/10/10-3-10-1024x536.jpg)
ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์สำรวจพบและนำเสนอแนวสันเขากลางมหาสมุทรทั่วโลก โดยในกรณีของแนวสันเขากลางมหาสมุทรแอตแลนติกและมหาสมุทรอินเดียจะทอดยาวอยู่ตรงกลางมหาสมุทรจึงเรียกว่า 1) สันเขากลางมหาสมุทรแอตแลนติก (Mid-Atlantic Ridge) (หมายเลข 5) มีอัตราการแผ่ขยายตัวโดยเฉลี่ยประมาณ 2.5-3.5 เซนติเมตร/ปี และ 2) สันเขากลางมหาสมุทรอินเดีย (Mid-Indian Ridge) (หมายเลข 6) มีอัตราการแผ่ขยายตัวโดยเฉลี่ยประมาณ 2-7 เซนติเมตร/ปี ส่วนมหาสมุทรแปซิฟิกจะเกิดขึ้นทางตะวันออก ค่อนข้างจะชิดกับทวีปอมเริกาเหนือจึงเรียกว่า 3) เนินเขามหาสมุทรแปซิฟิกตะวันออก (East-Pacific Rise) (หมายเลข 2-4) หรือ ซึ่งมีอัตราการแผ่ขยายตัวยประมาณ 5-16.5 เซนติเมตร/ปี ซึ่งโดยรวมสันเขากลางมหาสมุทรทั้งหมดมีความยาวประมาณ 65,000 กิโลเมตร
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2019/10/10-3-6-1024x507.jpg)
สืบเนื่องจากการแทรกดันและไหลหลากของแมกมาในบริเวณสันเขากลางมหาสมุทรก่อให้เกิดการแผ่ขยายตัวของพื้นมหาสมุทร ตามแนวคิด พื้นทะเลแผ่กว้าง (sea-floor spreading) ในทางธรณีแปรสัณฐาน ซึ่งพื้นมหาสมุทรใหม่ดังกล่าว คือ แผ่นเปลือกโลกมหาสมุทร (oceanic curst) ซึ่งมีองค์ประกอบเฉพาะประกอบด้วยหินหลากหลายชนิด เรียกว่า ชุดหินโอฟิโอไลต์ (Ophiolite Suite) ซึ่งการลำดับชั้นหินโอฟิโอไลต์ ประกอบด้วยชั้นหินชนิดต่างๆ ได้แก่
- 1) ชั้นตะกอนทะเลลึก (pelagic sediment) ประกอบด้วยหินเชิร์ต หินดินดานสีดำและหินปูน เป็นต้น
- 2) ชั้นหินบะซอลต์รูปหมอน (basalt pillow) เกิดจากลาวาสัมผัสกับผิวน้ำแล้วเกิดเย็นตัวอย่างรวดเร็วมีรูปร่างคล้ายหมอน
- 3) แผ่นผนังหิน (sheeted dike) เป็นหินที่มีแนวการวางตัวตั้งฉากในแนวดิ่ง เนื่องจากการฉีดพุ่งขึ้นมาของแมกมาใต้พื้นผิวโลก โดยส่วนใหญ่เนื้อหินเป็นหินบะซอลล์
- 4) ชั้นหินแกบโบร (gabbro)
- 5) ชั้นหินอัคนีสีเข้มจัด (ultramafic) ซึ่งโดยส่วนใหญ่ที่พบจะเป็นหินดันไนต์ (dunite) หรือหินเพอริโดไทต์ (peridotile) และ
- 6) ชั้นเนื้อโลก (mantle) ประกอบด้วยหินฮาร์ซเบอร์ไกต์ (harzburgite) หรือหินเลอร์โซไลต์ (lherzolite)
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2019/10/10-3-3-1024x733.jpg)
การลำดับชั้นหินของชุดหินโอฟิโอไลต์ไม่สามารถดูได้ที่บริเวณสันเขากลางมหาสมุทร แต่นักวิทยาศาสตร์ศึกษาชุดหินนี้ในบริเวณที่เขตมุดตัวของแผ่นเปลือกโลกในอดีต ซึ่งมีการครูดถูและดึงชุดหินโอฟิโอไลต์นี้มาสู่พื้นด้านบน เช่น เทือกเขาแอลป์ เทือกเขาหิมาลัย เป็นต้น
4) รอยเลื่อนเหลื่อมข้าง
แต่เนื่องจากปริมาตรของแมกมาในการแทรกดันที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ย่อยตามแนวสันเขากลางมหาสมุทร ทำให้อัตราการแยกตัวออกของแผ่นเปลือกโลกมหาสมุทรนั้นแตกต่างกัน ซึ่งทำให้เกิดแรงเฉือนกันระหว่างโซนที่มีอัตราการเลื่อนตัวสูงและต่ำ และเกิดเป็น รอยเลื่อนเหลื่อมข้าง (strike-slip fault) ที่มีการเคลื่อนที่แบบผ่านกันตัดขวางแนวสันเขาเป็นช่วงๆ ดังแสดงในรูปด้านล่าง
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2019/10/10-3-7-1024x281.jpg)
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2019/10/10-3-8-1024x536.jpg)
. . .
บทความล่าสุด : www.mitrearth.org
เยี่ยมชม facebook : มิตรเอิร์ธ – mitrearth