วิจัยสำรวจเรียนรู้แผนที่

ถนนขวางน้ำ – หนึ่งในเหตุน้ำท่วมขังของไทย

ทุกวันนี้ เมื่อมีฝนตกหนักในบ้านเรา สิ่งที่ตามมาแทบทุกครั้งคือข่าว น้ำท่วม (flood) และหากสอบถามความรู้สึกประชาชนทั่วไป แทบทุกคนก็จะตอบตรงกันว่า ทุกวันนี้น้ำท่วมบ่อยขึ้น น้ำท่วมง่ายขึ้น และเมื่อถกถึงสาเหตุน้ำท่วม จำเลยแรกที่จะถูกกล่าวถึงก็มักจะหนีไม่พ้น การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (climate change) ที่กำลังเป็นประเด็นอยู่ในปัจจุบัน บ้างก็ว่าพื้นดินทรุดต่ำลง บ้างก็ว่าเขื่อนปล่อยน้ำผิดเวลา หรือไม่ก็การบริหารจัดการน้ำของภาครัฐไร้ประสิทธิผล แต่จากการติดตามน้ำท่วมบ้านเราในช่วง 10 ปี ที่ผ่านมา ผู้เขียนพบข้อน่าสังเกตที่ว่าไทยเราน้ำท่วมง่ายขึ้นจริง ซึ่งในทางวิชาการธรณีพิบัติภัย ภาวะแบบนี้หมายถึง ประเทศไทยกำลังมี ความอ่อนไหว (susceptibility) ต่อภัยน้ำท่วม เรียกว่า ฝนตกหนักเมื่อไหร่ ส่วนใหญ่ก็ท่วมเมื่อนั้น

หนึ่งกรณีศึกษาที่สื่อถึงความอ่อนไหวของน้ำท่วมไทยในปัจจุบันได้ดี คือเหตุการณ์น้ำท่วมในช่วงเดือนกันยายน พ.ศ. 2564 ที่อำเภอบำเหน็จณรงค์ จังหวัดชัยภูมิ เพราะหลังจากฝนตกหนักอยู่เพียงชั่วขณะ ทั้งอำเภอเกิดภาวะน้ำท่วมขังแบบแทบมิดหัว ซึ่งหากประเมินในเชิงภูมิศาสตร์หรือภูมิประเทศ บำเหน็จณรงค์ เป็นอำเภอที่อยู่สูงกว่าพื้นที่อื่นๆ ในจังหวัดเดียวกัน มวลน้ำก็ควรระบาย ไหลลงรวดเร็วไปสู่พื้นที่ที่ต่ำกว่า แต่กลับเกิดน้ำท่วมขังทั้งอำเภออย่างน่าประหลาดใจ ซึ่งมูลเหตุที่พอจะจับสัญญาณได้คือการมีอยู่ของ “ถนนขวางน้ำ” กั้นไม่ให้น้ำไหลได้อย่างสะดวกโยธิน

(ซ้าย) แผนที่ภูมิประเทศจังหวัดชัยภูมิ แสดงระดับความสูงของอำเภอบำเหน็จณรงค์ (กรอบเส้นประสีแดง) ที่อยู่สูงกว่าพื้นที่อื่นๆ ในจังหวัด (ขวา) ภาพข่าวสภาพน้ำท่วมในช่วงเดือนกันยายน พ.ศ. 2564 ที่อำเภอบำเหน็จณรงค์ จังหวัดชัยภูมิ (ที่มา : เดลินิวส์)

ธรรมชาติของพื้นผิวโลก

ในทางธรรมชาติของพื้นผิวโลก พื้นที่ใดๆ ที่เรามองด้วยตาว่าราบเรียบ ถ้าเล็งหรือพิจารณาดีๆ สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้ราบและเรียบอย่างสมบูรณ์แบบ แต่จะมีส่วนที่ที่ต่ำกว่าและสูงกว่าเสมอ ซึ่งในทางธรณีวิทยา เรียกว่าพื้นที่ที่ต่ำกว่าว่า ร่อง (valley) และเรียกพื้นที่ที่สูงกว่าว่า เนิน (ridge) และด้วยสัจธรรมของน้ำที่จะไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ เมื่อมีฝนตกในพื้นที่ใดๆ มวลน้ำก็จะไหลออกจากแนวสันเนิน และไหลไปรวมตามแนวร่องเสมอ และมีโอกาสพัฒนาต่อไปเป็น ธารน้ำ (stream) หรือ แม่น้ำ (river) ตามลำดับ หากมีการรวมน้ำมากขึ้น ไหลหลากบ่อยขึ้น

การ์ตูนแสดงความเป็น ร่อง (valley) และ เนิน (ridge) ของพื้นผิวโลก ซึ่งบางครั้งอาจสังเกตไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่ในพื้นที่ใดๆ จะมีที่สูงกว่าและต่ำกว่าเสมอ
ภาพแสดงความเป็นร่อง (valley) และเนิน (ridge) ของพื้นผิวโลก ซึ่งบางพื้นที่อาจสังเกตไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่ในพื้นที่ใดๆ จะมีที่สูงกว่าและต่ำกว่าแทบทุกพื้นที่ และน้ำจะไหลออกจากสันเนินไปรวมตามร่องน้ำเสมอ โดยแนวคิดทางธรณีวิทยานี้ ยังช่วยตอบคำถามว่า กลัวว่าภาคกลางน้ำจะท่วม เราควรย้ายไปอยู่ภาคไหนดี คำตอบคือ เราสามารถอยู่ได้ทุกภูมิภาคของไทย ขอแค่ให้เลือกอยู่ตามแนว เนิน (ridge) แนวที่น้ำไหลออก แทนที่จะไปอยู่ตามแนว ร่อง (valley) แนวที่น้ำไหลเข้ามารวมกัน เป็นอันว่าค่อนข้างปลอดภัยจากภัยพิบัติน้ำท่วมน้ำหลากำ

จากการวิเคราะห์ภูมิประเทศในพื้นที่ประเทศไทย ผู้เขียนพบแนวร่องจำนวนมาก ยึดโยงเชื่อมต่อกันอย่างเป็นระบบ ซึ่งบางพื้นที่ถูกกระบวนการทางธรรมชาติธรณีวิทยา พัฒนาและก่อตัวเป็นธารน้ำสายเล็กบ้าง หรือยกระดับเป็นแม่น้ำสายสำคัญของพื้นที่บ้าง แต่อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากธารน้ำและแม่น้ำที่เรามองเห็นได้ด้วยตา ทั่วทั้งประเทศไทยยังพบพื้นที่อีกมากมายที่ในสภาวะปกติแสดงสภาพเป็นบก คือไม่มีมวลน้ำไหลผ่าน ดูเหมือนกับว่าน่าอยู่น่าอาศัย แต่ผลจากการวิเคราะห์ภูมิประเทศด้วยเทคนิค สารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) พื้นที่เหล่านั้นมีสถานะเป็นร่อง ที่พร้อมรวมน้ำได้ทุกเมื่อในยามฝนมา ซึ่งต้องส่งข่าวด้วยความห่วงใยว่า พื้นที่เหล่านี้ อ่อนไหวต่อภัยพิบัติน้ำท่วมน้ำหลาก ยิ่งไปกว่านั้น แนวร่องแต่ละร่องก็มีศักดิ์ศรีหรือศักยภาพในการรวมน้ำในปริมาณที่แตกต่างกัน เช่น ร่องสีฟ้า เกิดจากการรวมน้ำของพื้นที่รับน้ำแคบๆ ส่วนร่องสีเขียว สีเหลือง สีส้ม และสีแดง ก็มีพื้นที่รับน้ำในปริมาณที่สูงขึ้นตามลำดับ

ดาวน์โหลดข้อมูล : ข้อมูลแนวร่องน้ำ (ไฟล์ Google Earth .kmz)

ตัวอย่างโครงข่ายร่องน้ำ (valley) ในพื้นที่จังหวัดน่าน วิเคราะห์จากข้อมูลภูมิประเทศด้วยเทคนิคสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) สีของเส้นที่แตกต่างกัน แสดงถึงศักยภาพในการรับน้ำที่แตกต่างกัน เรียงลำดับจากรับน้ำปริมาณน้อยไปจนถึงปริมาณมาก ได้แก่ สีฟ้า สีเขียว สีเหลือง สีส้ม และสีแดง ตามลำดับ ซึ่งมีนัยสื่อถึงปริมาณของมวลน้ำที่สามารถรวมเข้ามาไหลหลากในพื้นที่นั้นๆ ได้ จากภาพจะเห็นได้ว่า มีหลายพื้นที่ที่แนวร่องในสภาวะปกติเป็นพื้นที่บก ไม่มีทางน้ำไหลผ่าน และเป็นที่อยู่อาศัยของประชาชน ในเมื่อเกิดภาวะฝนตกหนักในพื้นที่ แนวเส้นต่างๆ เหล่านี้จะเป็นแนวร่องที่มวลน้ำจะไหลผ่าน

ถนนขวางน้ำ ความอ่อนไหวที่มนุษย์ก่อ

หากเราตัดประโยชน์อันมหาศาลของการคมนาคมที่ใช้กันอยู่ทุกวันไปก่อน การมีโครงข่ายถนน นอกจากจะทำให้ภูมิประเทศมีลักษณะเป็นเหมือนแอ่งน้ำย่อมๆ ต่อเหมือนจิ๊กซอว์ ซึ่งทำให้เมื่อฝนตก ก็จะเกิดน้ำขัง นอกจากนี้ในกรณีของพื้นที่ที่เป็นแนวร่องน้ำ หากแนวร่องน้ำตัดผ่านถนน ถนนบริเวณนั้นจะมีความสุ่มเสี่ยงอย่างมาก ต่อการเกิดภาวะน้ำล้นถนน หรือภาวะถนนถูกตัดขาด ทั้งนี้ก็เพราะเป็นเพียงพื้นที่เดียวที่น้ำจะไหลออกไปได้ วิธีการแก้ไขหรือบรรเทาคือ การวางท่อระบายน้ำให้มากเข้าไว้ เพื่อให้น้ำไหลได้อย่างสะดวกโยธิน

ตัวอย่าง ถนนเพชรเกษม ถนนสายหลักของภาคใต้ ที่ทอดตัวยาวเหนือ-ใต้ ขวางการไหลหลากของมวลน้ำจากเทือกเขาทางตะวันตก สู่ที่ราบทางตะวันออกและอ่าวไทย นี่จึงเป็นสาเหตุหลักของการได้ยินข่าวว่ามีน้ำท่วมหลังฝนตกบริเวณหัวหิน ชะอำ เป็นประจำ

อย่างที่กล่าวไปในข้างต้น จากเหตุการณ์ภัยพิบัติน้ำท่วมที่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย หนึ่งในข้อสังเกตที่น่าสนใจในมิติของภัยคือพบว่า บางเหตุการณ์น้ำท่วม เกิดจากมวลน้ำไม่สามารถระบายลงสู่แหล่งน้ำได้อย่างสะดวกทันเวลา ทำให้เกิด ภาวะน้ำท่วมขังอันเนื่องมาจากมวลน้ำรอการระบายในหลายพื้นที่ และจากการวิเคราะห์ทางภูมิเทศ พบว่าสาเหตุหลักของการท่วมขังมักเกิดจาก ถนนในแต่ละพื้นที่ ที่ร้อยเรียงเชื่อมโยงกันเป็นโครงข่าย ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นเหมือนขอบ เหมือนกรอบกีดขวาง กั้นมวลน้ำเอาไว้ในยามฝนตก ซึ่งถึงแม้ว่าในบางพื้นที่จะมีการจัดสร้างท่อระบายน้ำอยู่บ้าง แต่จากการสำรวจในเบื้องต้นพบว่า ยังมีอีกหลายพื้นที่ทั่วไทย ที่แนวถนนตัดขวาง กั้นแนวร่องน้ำหลากอย่างสมบูรณ์แบบ ส่งผลให้พื้นที่เหล่านั้น ไม่ต่างอะไรกับแอ่งกระทะขนาดย่อม ที่พร้อมจะมีน้ำท่วมขัง หากมีฝนตกลงมา

(บนซ้าย) ภาพมุมสูงแสดงถนนที่ถูกตัดขาด อันเนื่องมาจากมวลน้ำพยายามที่จะไหลไปตามแนวร่องลงสู่ที่ต่ำ และกัดเซาะแทงถนนเพื่อระบายน้ำ (ล่างซ้าย) สภาพรางรถไฟที่มีมวลน้ำไหลเซาะทะลวงพื้นที่จากที่สูงทางด้านซ้ายไปสู่ที่ต่ำทางด้านขวาของภาพ (ที่มา: www.thairath.co.th) (บนขวา) การอพยพนำรถขึ้นไปจอดบนทางด่วน ในเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ที่กรุงเทพฯ ในปี พ.ศ. 2554 (ล่างขวา) กรณีตัวอย่างของสถานที่จริง แสดงถนนส่วนที่ตัดผ่านร่องน้ำ และถนนที่อยู่บนสันเนิน (ที่มา : https://www.salika.co)

ด้วยเหตุนี้ เพื่อที่จะลดระดับความอ่อนไหวของการเกิดภาวะน้ำท่วมอันเนื่องมาจากเหตุถนนขวางน้ำ หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง จึงควรให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ จุดที่แนวถนนวางตัวตัดขวางแนวร่องน้ำ ซึ่งเป็นจุดเสี่ยงที่จะเกิด ภาวะน้ำหลากล้นข้ามถนน หรือจุดเสี่ยงถนนถูกตัดขาดในห้วงสถานการณ์อุทกภัย ซึ่งจะเป็นอุปสรรคหรืออันตรายต่อการคมนาคมในช่วงน้ำมาก โดยในช่วงสถานการณ์ปกติ ข้อมูล จุดที่แนวถนนวางตัวตัดขวางแนวร่องน้ำ ดังกล่าว ยังมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการวางแผน การจัดสร้างระบบท่อระบายน้ำตามแนวถนน เพื่อระบายน้ำให้คล่องในภาวะฝนตกที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอีกด้วย

ชุดข้อมูล ช่วยแก้ปัญหาถนนขวงน้ำ

จากข้อมูลที่ผู้เขียนวิเคราะห์ไว้ทั้ง 77 จังหวัด ตำแหน่งที่แนวร่องน้ำตัดขวางกับถนน คือตำแหน่งที่ 1) ควรวางท่อระบายน้ำ เพื่อระบายน้ำให้คล่อง ในภาวะฝนตก และ 2) ไม่ควรใช้เส้นทางหรือขับผ่านถนนเส้นนั้น ในช่วงที่ฝนตกหนัก เพราะถนนสุ่มเสี่ยงที่จะถูกตัดขาด ในห้วงเวลานั้น หากไม่มีท่อระบายเพียงพอและน้ำระบายไม่ทัน

ดาวน์โหลดข้อมูล: ข้อมูลจุดเสี่ยงน้ำตัดถนน (ไฟล์ Google Earth .kmz)

ตัวอย่างจุดเสี่ยงน้ำตัดถนน จังหวัดชัยภูมิ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย จุดสีแดง คือ จุดที่แนวร่องน้ำสีต่างๆ ไหลตัดขวางกับแนวถนน (เส้นสีชมพูอ่อน) ซึ่งควรมีการวิเคราะห์ปริมาณน้ำที่สามารถไหลมารวมได้ และจัดสร้างท่อระบายน้ำที่สอดคล้องกับปริมาณน้ำที่ประมาณการณ์ เพื่อให้สามารถระบายน้ำผ่านแนวถนนได้อย่างสมดุลในภาวะฝนตก และควรหลีกเลี่ยงการใช้เส้นทางตามจุดสีแดงดังกล่าวในช่วงที่ฝนตกหนัก เนื่องจากสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดภาวะน้ำหลากล้นถนนหรือถนนถูกตัดขาด
ภาพแบบนี้จะลดน้อยลง ถ้าเราไล่วางท่อระบาย ตามจุดที่ถนนขวางทางน้ำ แอดวิเคราะ์มาให้แบบแยกเป็นจังหวัดๆ โหลดไปใช้ดูครับ (ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ)

. . .
บทความล่าสุด : www.mitrearth.org
เยี่ยมชม facebook : มิตรเอิร์ธ – mitrearth

Share: