เรียนรู้

ยังคงมีความงดงาม แม้ในยามแผ่นดินไหว

“ในดีมีเสีย ในเสียมีดี” ผมคิดว่าประโยคสั้นๆ ประโยคนี้ น่าจะสาสมแก่ใจดีกับการพิพากษา “แผ่นดินไหว” เพราะตลอดระยะเวลาที่เฝ้าขุดคุ้ยค้นหาข้อมูลความเหี้ยม ทั้งจากหนังสือบ้าง อินเตอร์เน็ตบ้าง หลายครั้งก็ยังพบ “ความงาม” ที่แทรกอยู่ในบางบรรทัดของเรื่องเล่าแผ่นดินไหวเสมอ อย่ากระนั้นเลย นอกจากบทความอื่นๆ ที่ผมพยายามตีแผ่ความโหดร้ายและนิสัยของแผ่นดินไหวในเชิงวิทยาศาสตร์ บทความนี้ผมจึงอยากจะเปลี่ยนบรรยากาศมาเล่าเรื่องราวเบาๆ ดีๆ ที่พอจะมีแอบซ่อนอยู่บ้าง ในยามแผ่นดินไหว

กุหลาบแผ่นดินไหว

จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 6.8 เมื่อวันที่ 28 เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544 นักแผ่นดินไหวประเมินว่า จุดศูนย์กลางอยู่ห่างจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา ไปประมาณ 3-4 กิโลเมตร และทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนระดับปานกลางนานกว่า 30 วินาที ขณะที่ออกสำรวจความเสียหาย นักแผ่นดินไหวได้พบกับเจ้าของร้านขายของจุ๊บจิ๊บ ซึ่งเธอก็ได้ชวนพวกเขาให้ลองเข้าไปดูอะไรบางอย่างภายในร้าน

เมื่อเข้าไปดูตามคำเชื้อเชิญ นักแผ่นดินไหวก็พบว่า เพนดุลัมทรายที่วางขายอยู่ในร้านได้สร้างรูปทรงประหลาดบางอย่างขึ้น ซึ่งเจ้าของร้านเล่าว่ารูปทรงเหล่านี้เกิดขึ้นในระหว่างที่แรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหวกำลังเข้าปะทะบ้านของเธอ ด้วยข้อมูลความเชื่อพื้นฐานที่เจ้าของร้านมีอยู่ เธอจึงเชื่อว่ารูปร่างที่ปรากฏบนกระบะทรายเล็กๆ นี้ คือดวงตาของเทพเจ้าโพไซดอน (The Eye of Poseidon) ที่ครั้งหนึ่งชาวกรีกโบราณเคยเชื่อว่าเป็นเทพเจ้าผู้ควบคุมกลไกการทำงานของแผ่นดินไหวและสึนามิ

กุหลาบแผ่นดินไหว ผลงานสร้างสรรค์จากแผ่นดินไหวขนาด 6.8 ที่สหรัฐอเมริกา เมื่อ พ.ศ. 2544 (ที่มา : www.aps.org)

ถึงแม้ว่าจะสื่ออะไรได้ไม่มากนักในทางวิชาการหรือวิทยาศาสตร์ แต่ก็พอจะทำให้นักแผ่นดินไหว หลุดปากออกมาได้ว่า “ก็เป็นอะไรที่สวยดีนะ” ถึงขนาดเกิดแรงบันดาลใจ ตั้งชื่อภาพวาดบนผืนทรายนี้ว่า กุหลาบแผ่นดินไหว (Earthquake Rose)

เกมแห่งแผ่นดินไหว 1988

อีกหนึ่งเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ทำให้ผู้เชี่ยวชาญหลายคนงงงวยกันไปพักใหญ่ คือ แผ่นดินไหวในช่วงหัวค่ำของวันเสาร์ที่ 8 เดือนตุลาคม ปี พ.ศ. 2531 (ค.ศ. 1988) เรื่องมันมีอยู่ว่า สถานีตรวจวัดแผ่นดินไหวท้องถิ่นแห่งหนึ่งในรัฐหลุยส์เซียนา ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ตรวจพบคลื่นไหวสะเทือนรูปทรงประหลาด เป็นรอยด่างเหมือนกับว่ามีใครมาทำกาแฟหก รดใส่กระดาษกราฟ

กราฟแผ่นดินไหวแสดงให้เห็นถึงแรงสั่นสะเทือนกระจุกสีเทาด้านขวา (ที่มา : www.seismosoc.org)

เมื่อสืบสาวราวเรื่องลงไป ก็ได้ความว่าในช่วงเวลาเดียวกันนั้นมีการแข่งขันกีฬาคนชนคน ศึกแห่งศักดิ์ศรีอเมริกันฟุตบอลระหว่างทีมจากมหาวิทยาลัยหลุยส์เซียนาและมหาวิทยาลัยออเบิร์น ซึ่งก่อนจบการแข่งขันเพียงไม่กี่นาที ผู้เล่นทีมหลุยส์เซียนาเกิดอาการผีเข้าวิ่งฝ่าแนวรับของทีมคู่แข่งเข้าไปทำทัชดาวน์ ส่งให้มหาวิทยาลัยหลุยส์เซียนา จากที่ตามอยู่ 0-6 โกงความตาย กลายมาเป็นฝ่ายชนะ 7-6 ครองแชมป์ในปีนั้น

ด้วยความดีใจอย่างสุดขีด แฟนบอลทั้งสนามของทีมเจ้าภาพกระโดดโลดเต้น จนทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนวิ่งไปถึงสถานีตรวจวัดแผ่นดินไหวที่ห่างออกไปหลายกิโลเมตร โดยวัดได้นานประมาณ 50 วินาที

จังหวะที่ผู้เล่นทีมหลุยส์เซียนากำลังจะนำลูกไปทำทัชดาวน์ (ขวา) วินาทีแห่งความดีใจของแฟนหลุยส์เซียนา

นับตั้งแต่นั้นมา มหาวิทยาลัยหลุยส์เซียนาจึงเป็นที่กล่าวขานทั้งจากวงการอเมริกันฟุตบอลและวงการแผ่นดินไหว และเรียกเกมอเมริกันฟุตบอลสุดคลาสสิกนี้ว่า “เกมแห่งแผ่นดินไหว 1988 (The Earthquake Game 1988)” ประทับไว้อยู่…คู่หอเกียรติยศ

ระเบียบวินัยชาวญี่ปุ่น

หลังจากเกิดแผ่นดินไหวขนาด 9.0 และสึนามิครั้งใหญ่ เมื่อวันที่ 11 เดือนมีนาคม พ.ศ. 2553 ภาพความเสียหายของประเทศญี่ปุ่นได้ถูกเผยแพร่ออกไปทั่วโลกจากสื่อต่างๆ แต่อีกมุมหนึ่งที่ผมคิดว่าเป็นภาพที่สวยงาม ซ่อนอยู่กับเหตุการณ์แผ่นดินไหวในครั้งนั้น คือ ภาพของความมีระเบียบวินัยของชาวญี่ปุ่น

ถึงแม้ว่าจะเสียขวัญและยังตื่นกลัวกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิที่เกิดขึ้น คนญี่ปุ่นก็ได้แสดงให้เห็นถึงนิสัยก้นบึ้งที่น่ายกย่อง ไม่ว่าจะเป็นการโทรศัพท์เพื่อส่งข่าวถึงญาติๆ การรอรับอาหารที่มีอยู่อย่างจำกัด ล้วนแต่ไม่มีอาการรุกรี้รุกรนหรือนิสัยเห็นแก่ตัวโผล่ให้เห็นเลยแม้แต่น้อย แต่ยังคงรอต่อคิวกันอย่างเป็นระเบียบ แม้จะรู้ว่าเหรียญกำลังจะเต็มตู้ หรือกล่องอาหารกำลังจะหมดไปต่อหน้าต่อตาก็ตาม

การต่อคิวรับอาหารอย่างเป็นระเบียบของชาวญี่ปุ่น( ที่มา : http://news.mthai.com)

ยิ่งนิสัยแบบนี้มีอยู่ในคนญี่ปุ่นทุกๆ คน ความสวยงามจึงไม่ต่างอะไรไปกับการร่วมกันแปลอักษรภาพขนาดใหญ่ ซึ่งต้องใช้คนเรือนหมื่นเรือนแสน ที่ใครเห็นแล้วก็ต้องรู้สึกทึ่ง นี่เป็นความสวยงามที่ผมรู้สึกประทับใจ และอยากจะแบ่งปันให้พวกเราได้ร่วมชื่นชม

นอกจากนี้ ผลกระทบเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้นหลังจากแผ่นดินไหว คือโรงงานไฟฟ้าที่ผลิตกระแสไฟเพื่อใช้ในประเทศได้รับความเสียหายอย่างหนัก ส่งผลกระทบต่อการใช้ไฟฟ้าของคนทั้งประเทศในวงกว้าง รัฐบาลญี่ปุ่นจึงตัดสินใจปิด-เปิดไฟเป็นเวลา ตลอดระยะเวลากว่า 1 เดือน เพื่อให้ทุกพื้นที่ของประเทศได้มีโอกาสใช้ไฟฟ้าอย่างเพียงพอต่อความจำเป็นและเท่าเทียม

แต่ละพื้นที่ต้องสลับกันดับไฟวันละ 3 ชั่วโมง ซึ่งถึงแม้จะไม่ได้สะดวกสบายอย่างที่เคยเป็น แต่ก็ยังมองไม่เห็นการประท้วงหรือความไม่พอใจกับการดับไฟในครั้งนั้น ถือเป็นอีกความสวยงามของการทำหน้าที่ในฐานะประชาชนคนญี่ปุ่น อย่างสมบูรณ์แบบ

ซื่อสัตย์แบบอาทิตย์อุทัย

อีกหนึ่งภาพจำที่เป็นเสมือนน้ำทิพย์ หล่อเลี้ยงหัวใจให้คนญี่ปุ่นยังใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้ ภายใต้สถานการณ์ภัยพิบัติและการเริ่มต้นฟื้นฟูประเทศอย่างยากลำบากนี้ คือภาพของตู้เซฟกองโตที่ถูกวางกองไว้ที่สถานีตำรวจในพื้นที่ประสบภัยพิบัติ ซึ่งตู้เซฟที่เต็มไปด้วยเงิน จำนวนมากกว่า 5,700 ตู้ เหล่านี้ ได้มาจากการที่ชาวญี่ปุ่นพบอยู่ตามซากปรักหักพังของอาคาร และนำส่งส่วนราชการเพื่อค้นหาเจ้าของคืน ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติของญี่ปุ่นระบุว่ามีการนำส่งเงินคืนแก่เจ้าของแล้วกว่า 3,700 ล้านเยน (หรือประมาณกว่า 1,400 ล้านบาท)

กองตู้เซฟที่รวบรวมได้จากพื้นที่ประสบภัย (ที่มา : www.guardian.co.uk)

นอกจากนี้ นายสุกายะ ชิบะ โฆษกตำรวจ จังหวัดมิยางิ ยังกล่าวอีกว่า ถือเป็นเรื่องปกติธรรมดาของชาวญี่ปุ่นที่ซื่อสัตย์และไม่อยากได้ของที่ไม่ใช่ของตน เห็นอย่างนี้ถ้ามีดรากอนด์บอลซัก 7 ลูก ผมก็อยากจะปลุกมังกรมาขอพร ให้พวกเราคนไทยมีนิสัยปกติสุขอย่างญี่ปุ่นกันเยอะๆ

น้ำใจสยาม

ย้อนกลับมาที่เมืองไทยบ้านของเรา เหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิเมื่อวันที่ 26 เดือนธันวาคม พ.ศ. 2547 ก็ทำให้คนไทยได้เห็นนิสัยของคนไทยด้วยกัน แน่นอนว่าเราคงเคยเห็นการทะเลาะเบาะแว้งกันเรื่องกำแพงรั้วระหว่างเพื่อนบ้าน ก่นด่ากันเรื่องการจัดการน้ำระหว่างจังหวัด หรือแม้แต่ทุบตีกันเรื่องการเมืองระหว่างภาคกับภาค แต่ทุกครั้งที่เกิดวิกฤตครั้งใหญ่ จะเห็นว่าคนไทยไม่เคยเมินเฉย เพราะผมในฐานะที่เป็นหนึ่งในคนไทยนั้น ก็รู้อยู่เต็มอกว่า “น้ำใจ” ยังหาได้ในสยาม

จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อปี พ.ศ. 2547 มีหลายเรื่องราวที่น่าประทับใจและถูกกล่าวถึงอย่างมากมายทั้งในหน้าหนังสือพิมพ์หรือโลกออนไลน์ เช่นมีคนเล่าว่าในระหว่างที่เหตุการณ์กำลังชุลมุนหลังจากสึนามิเข้าปะทะชายฝั่งอันดามันของไทย ชาวบ้านวิ่งตามหาญาติที่หายไป เจ้าหน้าที่กู้ภัยกู้ศพผู้เสียชีวิต ผู้คนเดินขวักไขว่ไปมาตามท้องถนน นุ่งกางเกงตัวเดียวบ้าง หัวแตกบ้าง ขาแพลงบ้าง แต่ท่ามกลางความวุ่นวายเหล่านั้น ยังมีคนเห็นรถกระบะเก่าๆ อยู่หนึ่งคัน ที่วิ่งไปตามท้องถนนและชะลอหยุดตามจุดต่างๆ หลังจากนั้นก็จะเห็นภาพของคนขับรถเอาข้าวกล่องที่เตรียมมาเป็นถุงๆ วางไว้ข้างทาง

ชาวบ้านแถวนั้นบอกว่าเห็นรถคันนั้นทำอยู่อย่างนี้ทั้งวันมา 2 วันแล้ว หลายคนก็รู้จักเขาเป็นอย่างดี เพราะเขาก็เป็นพ่อค้าดั้งเดิมในพื้นที่ อำเภอเขาหลัก จังหวัดพังงา หนึ่งในพื้นที่ประสบภัยพิบัติ ซึ่งเขาต้องเสียทั้งภรรยาและลูกจากเหตุการณ์สึนามิ แต่หลังจากเหตุการณ์ผ่านไป เขาได้เดินเท้าไปบ้านญาติที่อำเภอตะกั่วป่า เพื่อที่จะทำข้าวกล่อง และขับรถตระเวนนำมาวางไว้ตามจุดต่างๆ เพื่อให้คนที่ยังเดือดร้อน หรือเจ้าหน้าที่ที่กำลังทำงานอยู่นั้นได้อิ่มท้อง

อีกเรื่องที่มีคนกล่าวถึงอย่างมากในแวดวงสังคมออนไลน์ คือ เรื่องราวของคุณยายท่านหนึ่ง ซึ่งหลังจากเกิดเหตุการณ์สึนามิ และเจ้าหน้าที่กู้ภัยกำลังพยายามอย่างหนักที่จะเก็บกู้ศพผู้เสียชีวิต เพื่อนำมารวมกันไว้ที่วัดเขาหลัก ทุกๆ วัน ยายจะมานั่งอยู่ข้างศาลาการเปรียญของวัด และจะหาบมะละกอซึ่งพอจะเก็บมาได้จากสวนของตนติดตัวมาด้วย

ภาพประกอบนะครับ ไม่ใช่คนเดียวกับคุณยายที่เล่า (ที่มา : http://statics.atcloud.com)

เมื่อมาถึงที่วัดเขาหลัก ยายก็จะเอามะละกอมานั่งสับและวางไว้ตรงหน้า เพื่อให้ใครที่เดินผ่านไปผ่านมาได้กินแบบฟรีๆ ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์เล่าว่าคุณยายจะนั่งทำอยู่แบบนี้ตั้งแต่เช้าจนบ่าย มือที่คอยประคองมะละกอไปล้างน้ำ เปียก-แห้งๆ เปื่อยน้ำจนเหี่ยวย่น ยายทำแบบนี้อยู่หลายวัน โดยไม่ได้พูดอะไรกับใครให้เสียเวลาการสับมะละกอ…ให้คนที่ไม่รู้จักได้กินอิ่มท้อง และนี่ก็คือหนึ่งใน “น้ำใจ” ที่คนไทยก็แสดงออกมาให้เห็นอย่างเป็นธรรมชาติ เหมือนกัน

เรื่องที่ผมเล่ามาทั้งหมดนี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ผมได้มีโอกาสได้รับรู้ ยังคงมีอีกหลายเรื่องราวที่ผมเชื่อว่ายังมีอยู่ ยังงดงามอยู่ คู่กับแผ่นดินไหว หรือภัยพิบัติอื่นๆ มันเป็นความสวยสดที่มนุษย์อย่างพวกเรานั้นเป็นผู้สรรค์สร้าง และเป็นความงดงามที่พวกเราเลือกเอง กำหนดได้

หลายครั้งหลายคราที่เรามักจะลืมหรือปล่อยอะไรให้มันผ่านไปแบบง่ายๆ แต่สำหรับเรื่องราวเหล่านี้ ผมเชิญชวนให้อ่านแบบเนิบๆ ซึมซับกันเอาไว้นะครับ เพราะคำว่าระเบียบวินัย ซื่อสัตย์ น้ำใจ เสียสละ และอีกลายๆ คำที่พวกเรานั้นอาจจะยังไม่ได้เจอ คือ “คีย์เวิร์ดชีวิต” ที่จะทำให้คนอยู่บนโลกใบนี้ร่วมกันได้ อย่างมีความสุข

. . .
บทความล่าสุด : www.mitrearth.org
เยี่ยมชม facebook : มิตรเอิร์ธ – mitrearth

Share: