![](https://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2019/07/22-4-0-750x375.jpg)
พายุ (storm) คือ ลมที่มีการเคลื่อนที่อย่างรุนแรง ซึ่งเกิดจากความแตกต่างอย่างมากของความกดอากาศระหว่าง 2 พื้นที่ (H หรือ L) โดยความรุนแรงของพายุตรวจวัดได้หลายรูปแบบ เช่น 1) เส้นผ่านศูนย์กลางของพายุ 2) ความเร็วที่ศูนย์กลาง 3) ความเร็วและทิศทางของการเคลื่อนตัว เป็นต้น ซึ่งพายุแบ่งย่อยเป็น 3 ประเภท คือ 1) พายุหมุนเขตร้อน (tropical cyclone) 2) ทอร์นาโด (tornado) และ 3) พายุฝนฟ้าคะนอง (thunderstorm)
![](https://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2019/07/22-4-0-1024x536.jpg)
พายุฝนฟ้าคะนอง (thunderstorm) หมายถึง สภาพอากาศรุนแรงเฉพาะถิ่น ที่มีฝนตกหนัก เกิดจากมวลอากาศร้อนยกตัวสูงขึ้น ก่อตัวเป็นเมฆ ซึ่งเมื่ออุณหภูมิอากาศเย็นลง ไอน้ำจะกลั่นตัวเกิดเป็นพายุ เกิด ลมกระโชก ฟ้าแลบ (lightning) ฟ้าร้อง (thunder) ฟ้าผ่า (thunderbolt) ซึ่งส่วนใหญ่เกิดอย่างกะทันหัน ในระยะเวลาสั้น และหยุดลงอย่างทันทีทันใดภายในช่วงเวลา 1-2 ชั่วโมง โดยธรรมชาติพายุฝนฟ้าคะนอง พบบ่อยในเขตร้อน (ระหว่างละติจูด 40 องศาเหนือ-ใต้) และรุนแรงมากกว่าเขตละติจูดกลางและละติจูดสูง
1) สาเหตุการเกิด
นักวิทยาศาสตร์จำแนกพายุฝนฝ้าคะนอง ตามกระบวนการเกิด หรือกระบวนการธรรมชาติที่ยกมวลอากาศขึ้นที่สูงในแนวดิ่งได้ 4 รูปแบบหลัก คือ
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2021/01/23-2-2-1024x531.jpg)
1) พายุฝนฟ้าคะนองภูเขา (orographic thunderstorm) เกิดจากมวลอากาศอุ่น (ซึ่งมีความชื้นหรือปริมาณไอน้ำสูง) เคลื่อนที่ปะทะภูเขาและลอยตัวสูงขึ้น เคลื่อนที่ขึ้นไปตามลาดเขา ทำให้มวลอากาศเย็นตัวลง ไอน้ำกลั่นตัวกลายเป็น เมฆฝน หรือ เมฆคิวมูโลนิมบัส (Cumulonimbus) เกิดพายุฝนฟ้าคะนองภูเขาปะทะหน้าเขา
2) พายุฝนฟ้าคะนองแนวปะทะ (frontal thunderstorm) เกิดจากการชนกันของมวลอากาศเย็นเดินทางชนมวลอากาศร้อน ทำให้มวลอากาศร้อนยกตัวสูงขึ้น ไอน้ำกลั่นตัวเป็นเมฆ และเกิดเป็นพายุฝนฟ้าคะนอง ตามแนวปะทะ
![](https://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2019/08/22-4-3.jpg)
3) พายุฝนฟ้าคะนองพาความร้อน (convectional thunderstorm) มวลอากาศอุ่นยกตัว เนื่องจากพื้นผิวโลกบริเวณนั้น ได้รับความร้อนจากดวงอาทิตย์ ทำให้มีการพาความร้อน ยกมวลอากาศจากพื้นดินขึ้นที่สูง เมื่ออากาศเย็นลง ไอน้ำกลั่นตัว เกิดเป็นเมฆ และพายุฝนฟ้าคะนอง โดยส่วนใหญ่เกิดในช่วงบ่าย-เย็น ในวันที่อากาศร้อนจัด
4) พายุฝนฟ้าคะนองซุปเปอร์เซลล์ (super-cell thunderstorm) เกิดจากมีลมเฉือนแนวดิ่งทำให้มีการยกตัวของมวลอากาศร้อนขึ้นสู่ที่สูง ก่อตัวเป็นเมฆ และเกิดพายุฝนฟ้าคะนอง
2) พัฒนาการพายุ
กลไกและวิวัฒนาการการเกิด พายุฝนฟ้าคะนอง (thunderstorm) แบ่งย่อยเป็น 3 ระยะ ดังนี้
![](https://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2019/08/22-4-1.jpg)
1) ระยะคิวมูลัส (cumulus stage) ในช่วงแรกพื้นดินจะร้อนอบอ้าว ทำให้มวลอากาศร้อน ยกตัวขึ้นในแนวดิ่ง หรือ อัพดราฟต์ (updraft) ก่อตัวกลายเป็น เมฆเซอโรคิวมูลัส (Cirrocumulus) ที่มีอุณหภูมิสูง ซึ่งเมื่อปะทะกับมวลอากาศเย็นด้านบน และควบแน่นเป็นละอองน้ำในเมฆ และคลายความร้อนออกมา (ในรูปของแสงอินฟราเรด) เกิดการก่อตัวของ เมฆคิวมูโลนิมบัส (Cumulonimbus) ซึ่งเป็นเมฆแนวตั้งขนาดใหญ่ จนบดบังแสงอาทิตย์ (เห็นเมฆเป็นสีดำ) ทำให้อุณหภูมิพื้นผิวลดต่ำลง
เพิ่มเติม : เมฆ . หมอก . น้ำค้าง
2) ระยะการเกิดพายุ หรือระยะแก่ตัว (mature stage) เป็นขั้นรุนแรงที่สุดของพายุฝนฟ้าคะนอง ประกอบไปด้วยปรากฏการณ์ต่างๆ ดังนี้
2.1) กระแสลมกรรโชก และมีกลิ่นดิน เนื่องจากลมภายในเมฆคิวมูโลนิมบัส จมตัวลงในแนวดิ่ง หรือ ดาวน์ดราฟต์ (downdraft) เป่าลงมากระแทกพื้นดินและกลายเป็น ลมเฉือน (wind shear) แผ่ขยายตัวออกด้านข้าง ก่อให้เกิดลมกระโชกรุนแรง ซึ่งเป็นอันตรายอย่างมาก ต่ออากาศยานที่กำลังจะขึ้นหรือร่อนลงสู่สนามบิน
![](https://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2019/08/22-4-4.jpg)
ไมโครเบิร์สต์ (microburst หรือ downburst) คือ
กระแสอากาศที่ฉีดลงมาจากเมฆ (คิวมูโลนิมบัส) ลงกระแทกพื้นดิน ในช่วงที่เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง ลมจะมีความแรงผิดปกติ ซึ่งเป็นอันตรายต่อการคมนาคมทางอากาศโดยเฉพาะในช่วงที่อากาศสญาณกำลังจะขึ้นจากหรือลงสู่สนามบิน
2.2) ฟ้าแลบ ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า เกิดจากกระแสลมพัดขึ้น-ลง ในแนวดิ่ง (updraft และ downdraft) ทำให้เกิดการเหนี่ยวนำของประจุไฟฟ้าในก้อนเมฆและบนพื้นดิน
![](https://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2019/08/22-4-2.jpg)
- ฟ้าแลบ (lightning) เกิดจาก ประจุไฟฟ้าเคลื่อนที่จากก้อนเมฆสู่ก้อนเมฆ ซึ่งโดยส่วนใหญ่เมฆด้านบนเป็นประจุบวก ในขณะที่เมฆด้านล่างโดยส่วนใหญ่เป็นประจุลบ (บน + ล่าง –)
- ฟ้าร้อง (thunder) ประกายไฟฟ้าของฟ้าแลบทำให้อากาศอุณหภูมิสูงขึ้น 25,000 oC อย่างทันทีทันใด อากาศขยายตัวรวดเร็วและรุนแรง เกิดเป็นเสียงฟ้าร้อง ซึ่งทั้งฟ้าแลบและฟ้าร้องจะเกิดขึ้นพร้อมกัน แต่ที่เราเห็นฟ้าแลบก่อนได้ยินเสียงฟ้าร้อง เนื่องจากแสงเดินทางเร็วกว่าเสียง
- ฟ้าผ่า (thunderbolt) เป็นปรากฏการที่มักจะเกิดควบคู่ไปกับฟ้าแลบและฟ้าร้อง เนื่องจาก ประจุไฟฟ้าหลุดออกมาจากกลุ่มเมฆฝน และถ่ายเทลงสู่พื้นดิน ต้นไม้ อาคาร ฯลฯ ตลอดจนสิ่งมีชีวิต ความรุนแรงหรือปริมาณของกระแสไฟฟ้าจากฟ้าผ่าเทียบเท่ากับการเปิดไฟขนาด 60 แรงเทียน พร้อมกัน 600,000 ดวง
![](https://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2019/08/22-4-5.jpg)
2.3) ฝนตกหนัก เกิดจาก เมฆคิวมูโลนิมบัส (Cumulonimbus) ควบแน่นเปลี่ยนเป็น หยาดน้ำฟ้า (precipitation) ตกลงมา ส่งผลให้ ความร้อนแฝง (latent heat) ที่เกิดจากการควบแน่นลดลง ช่วยทำให้อุณหภูมิของกลุ่มอากาศเย็นกว่าอากาศแวดล้อม ในบางครั้งมีลมพัดกรรโชกขึ้น-ลง อย่างรุนแรง เม็ดน้ำฝนอาจถูกพัดขึ้นไประดับสูงภายในเมฆ พัดขึ้น-พัดลง ก่อนที่จะกลายเป็นน้ำแข็ง หรือ ลูกเห็บ (hail) ก่อนที่จะตกลงมา
เพิ่มเติม : หยาดน้ำฟ้า ไม่ได้มีแค่ฝนกับหิมะ
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2021/01/23-3-8-1024x537.jpg)
3) ระยะสลายตัว (dissipating stage) กระแสลมที่พัดลงตามแนวดิ่งจะแผ่ไปทั่วเมฆ จนกระทั่งกระแสลมเริ่มอ่อนกำลัง ปริมาณหยาดน้ำฟ้าลดลงอย่างช้าๆ ในขณะเดียวกันอุณหภูมิภายในเมฆเริ่มเท่ากับอุณหภูมิของสภาพแวดล้อม และเริ่มกลับเข้าสู่สภาวะปกติ สืบเนื่องจากละอองน้ำ ที่ยังตกค้างอยู่ในอากาศหลังฝนหยุด ทำให้เกิดการหักเหแสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมา เกิดการแยกเป็นแถบสีหรือสเปกตรัมของแสง มองเห็นเป็น รุ้งกินน้ำ (rainbow) ในบางพื้นที่และบางมุมมอง
![](https://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2019/08/22-4-6.jpg)
. . .
บทความล่าสุด : www.mitrearth.org
เยี่ยมชม facebook : มิตรเอิร์ธ – mitrearth