วิทยาศาสตร์โลกเรียนรู้

ok22-152 ทอร์นาโดไฟ : ปรากฏการณ์ประหลาดบนท้องฟ้า

ทอร์นาโดไฟ (Fire Tornado) หรือที่เรียกกันว่า ไฟหมุน หรือ ปีศาจไฟ เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่น่าตื่นตาตื่นใจและอันตรายอย่างยิ่ง เหตุการณ์นี้เป็นการผสมผสานของพลังทำลายล้างของไฟและพายุหมุน กลายเป็นวังวนของเปลวเพลิงที่หายากและน่ากลัว แม้จะดูเหมือนพายุหมุนทั่วไป แต่ทอร์นาโดไฟไม่ได้เกิดขึ้นจากกลไกของพายุฝนฟ้าคะนอง แต่เกิดจากปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมและชั้นบรรยากาศที่เฉพาะเจาะจงซึ่งเกี่ยวข้องกับไฟ ในบทความนี้ เราจะสำรวจถึงวิทยาศาสตร์เบื้องหลังการก่อตัวของทอร์นาโดไฟ ปัจจัยที่เอื้ออำนวย และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและมนุษย์

ทอร์นาโดไฟคืออะไร

ทอร์นาโดไฟ (Fire Tornado) คือ คอลัมน์ของไฟที่หมุนวนร่วมกับควันและอากาศร้อน ซึ่งมักเกิดขึ้นระหว่างเหตุการณ์ไฟป่า วังวนเหล่านี้มีขนาดและความรุนแรงที่หลากหลาย ตั้งแต่การหมุนวนเล็กๆ ชั่วคราว ไปจนถึงเสาไฟขนาดใหญ่ที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าหลายร้อยเมตร แม้จะถูกเรียกว่า “พายุหมุน” แต่ทอร์นาโดไฟไม่ได้เป็นพายุหมุนในนิยามทางอุตุนิยมวิทยา เพราะไม่ได้เกิดจากพายุฝนฟ้าคะนองหรือเซลล์พายุหมุน แต่เป็นผลกระทบรองจากไฟขนาดใหญ่ ทำให้พวกมันมีลักษณะเฉพาะทางด้านอุณหพลศาสตร์และฟิสิกส์ของชั้นบรรยากาศ

เพิ่มเติม : ไฟป่า

ไฟเรือนยอด (crown fire)

ฟิสิกส์การก่อตัว

การก่อตัวของทอร์นาโดไฟต้องอาศัยปฏิสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างความร้อน ลม และเชื้อเพลิง หลักการเบื้องหลังเกิดจากกฎของอุณหพลศาสตร์ การไหลของของไหล และฟิสิกส์ของชั้นบรรยากาศ

1 บทบาทของความร้อนและการลอยตัว จุดเริ่มต้นของทอร์นาโดไฟคือแหล่งความร้อนรุนแรง เช่น ไฟป่าหรือไฟไหม้ในอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ความร้อนจากไฟทำให้อากาศด้านบนเบาบางลงและลอยตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว กระบวนการนี้ก่อให้เกิดกระแสลมยกตัว (updraft) ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของการก่อตัวของทอร์นาโดไฟ อากาศที่ลอยตัวขึ้นจะพาควัน เถ้าถ่าน และเปลวไฟขึ้นไปด้วย เกิดเป็นแกนกลางของวังวน

กลไกและระยะการก่อตัวของทอร์นาโด

เพิ่มเติม : ทอร์นาโด (Tornado) : เล็ก เรียว แต่รุนแรง

กระแสลมยกตัว (updraft)

2 การหมุนวนและโมเมนตัมเชิงมุม การหมุนวน หรือ vorticity คือการวัดการหมุนของอากาศ เป็นอีกปัจจัยสำคัญ เมื่ออากาศร้อนลอยตัวขึ้น อากาศที่เย็นกว่าจากบริเวณโดยรอบจะไหลเข้ามาแทนที่ หากมีความแตกต่างของกระแสลมในแนวนอน (wind shear) อากาศที่เข้ามาอาจเริ่มหมุน การรักษาโมเมนตัมเชิงมุม (angular momentum) ทำให้การหมุนนี้รุนแรงขึ้นเมื่ออากาศไหลเข้าสู่ศูนย์กลาง เช่นเดียวกับนักสเกตน้ำแข็งที่หมุนเร็วขึ้นเมื่อดึงแขนเข้าหาตัว

3 ปรากฏการณ์ปล่องไฟ (Chimney Effect) ปรากฏการณ์ปล่องไฟช่วยเพิ่มความรุนแรงของทอร์นาโดไฟ เมื่ออากาศร้อนลอยตัวขึ้น มันสร้างเขตความกดอากาศต่ำใกล้พื้นผิวไฟ ดึงอากาศที่มีออกซิเจนเข้ามาเลี้ยงเปลวเพลิง วัฏจักรที่ขับเคลื่อนตัวเองนี้ช่วยสนับสนุนและเสริมพลังให้กับวังวนที่หมุนอยู่

4 สภาพชั้นบรรยากาศ ทอร์นาโดไฟมักเกิดในสภาพชั้นบรรยากาศที่เฉพาะเจาะจง ได้แก่ ความแห้งแล้งและความชื้นต่ำ เชื้อเพลิงแห้งและความชื้นต่ำทำให้ไฟลุกลามได้ง่าย ลมแรง แรงเฉือนของลมและความปั่นป่วนช่วยกระตุ้นการหมุนวน บรรยากาศไม่เสถียร ชั้นบรรยากาศที่ไม่เสถียร เช่น การกลับตัวของอุณหภูมิ (temperature inversion) ช่วยเพิ่มความแรงของกระแสลมยกตัว

เอฟเฟกต์สแตก (Stack effect) เป็นลักษณะการไหลของอากาศที่มีประโยชน์มากและปัญหามากที่สุดในออกแบบอาคาร หากใช้อย่างถูกต้อง เอฟเฟกต์สแตกสามารถช่วยเพิ่มการระบายอากาศ ปรับปรุงการกระจายของควัน และทำให้อาคารสูงเป็นสถานที่ที่น่าอยู่และทำงาน แต่หากละเลย ก็อาจทำให้เกิดปัญหาประตูใช้งานไม่ได้ ค่าความร้อนและความเย็นสูงขึ้น และทำให้ผู้อยู่อาศัยไม่พอใจ เอฟเฟกต์สแตกคือแนวโน้มที่อากาศเคลื่อนที่ในแนวตั้งผ่านอาคารและปล่อง (ปล่องไฟ) เนื่องจากแรงลอยตัว ซึ่งแรงลอยตัวก็คือกลไกทางกายภาพที่อากาศร้อนลอยขึ้นเหนืออากาศเย็น การเคลื่อนที่นี้เกิดจากความหนาแน่นสัมพัทธ์ ซึ่งเป็นเหตุผลเดียวกับที่น้ำมันลอยน้ำ ในอาคารสูง อากาศร้อนจะลอยขึ้นจากชั้นล่างไปยังชั้นบน สร้างกระแสลมขึ้นไป อากาศที่ชั้นล่างจะเข้าไปในอาคารผ่านช่องเปิดที่มี (หน้าต่าง ประตู หรือช่องว่างในวัสดุหุ้มอาคาร) เพื่อแทนที่อากาศที่ลอยขึ้นออกจากอาคารผ่านช่องเปิดที่ชั้นบน ช่องทางที่เปลือย เช่น ช่องบันได ช่องลิฟต์ ท่อประปา และพื้นที่อื่น ๆ ที่ไม่ได้แบ่งเป็นห้องมักจะเสี่ยงต่อเอฟเฟกต์สแตก การไม่วางแผนสำหรับเอฟเฟกต์สแตกอาจทำให้เกิดปัญหาจริง ๆ เช่น อาคารสูงจะมีความแตกต่างของความดันระหว่างอากาศชั้นบนและชั้นล่างมากขึ้น ซึ่งทำให้เกิดความเร็วลมสูงที่ฐาน ทำให้เปิดปิดประตูแบบบานพับทั่วไปยาก และเอฟเฟกต์สแตกเป็นสาเหตุหลักของการใช้ประตูหมุนในอาคารสูง นอกจากนี้ พื้นที่เปิดขนาดใหญ่ เช่น ห้องโถงกลาง (atrium) จะเสี่ยงต่อการสะสมของควันในกรณีที่เกิดไฟไหม้ที่ชั้นล่าง ควันและอากาศร้อนจะลอยขึ้นไปที่เพดาน และเมื่อควันสะสมมากขึ้น ก็ทำให้การออกจากอาคารยากขึ้น หากไฟไหม้นานขึ้น ควันจะเริ่มไหลลงมา การที่ผู้คนเข้าอาคารในฤดูหนาวอาจทำให้ผู้อยู่อาศัยใกล้ทางเข้าเย็นลง และหันไปเพิ่มอุณหภูมิในเครื่องทำความร้อน แต่การที่อากาศร้อนเพิ่มขึ้นนี้จะส่งผลให้ผู้ที่อยู่ชั้นบนลดอุณหภูมิหรือลงหน้าต่าง ซึ่งจะทำให้เกิดวงจรป้อนกลับที่เพิ่มอัตราการระบายอากาศและลดความสะดวกสบายของทุกคน แต่เอฟเฟกต์สแตกก็สามารถใช้เป็นประโยชน์ได้ นักออกแบบระบบระบายอากาศธรรมชาติสามารถใช้การไหลของอากาศที่เกิดจากแรงลอยตัวเพื่อขับเคลื่อนอากาศผ่านผนังของอาคารและกำจัดมลพิษและความร้อน ระบบ HVAC บางประเภทยังใช้เอฟเฟกต์สแตกเพื่อปรับปรุงการระบายอากาศ และการลอยขึ้นของควันและอากาศร้อนที่ทำให้ควันสะสมในห้องโถงกลางจากไฟไหม้ก็สามารถใช้เพื่อเพิ่มการระบายควันได้เมื่อเอฟเฟกต์สแตกถูกนำมาพิจารณาเป็นส่วนหนึ่งของทางออก สำหรับอาคารที่มีช่องเปิดในผนังอาคาร ความดันลมอาจมีอิทธิพลเหนือเอฟเฟกต์สแตก ดังนั้นจึงไม่เพียงพอที่จะเข้าใจเอฟเฟกต์สแตกโดยไม่พิจารณาผลกระทบของลมต่ออาคาร ควรปรึกษาวิศวกรลมที่มีความเชี่ยวชาญเพื่อให้มั่นใจว่าโครงการของคุณสามารถรับมือกับเอฟเฟกต์ลมและสแตกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่ CPP ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคของเราจัดการกับความท้าทายของการไหลของอากาศทั้งภายในและภายนอกอาคารทุกวัน หากคุณกำลังออกแบบอาคารใหม่หรือต้องการปรับปรุงอาคารที่มีอยู่ เราสามารถช่วยให้โครงการของคุณประสบความสำเร็จ ด้วยความเข้าใจที่ซับซ้อนเกี่ยวกับปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนที่ของอากาศและความเชี่ยวชาญในการแก้ปัญหา เราจะช่วยให้มั่นใจว่าอาคารของคุณปลอดภัย สะดวกสบาย และมีประสิทธิภาพ (ที่มา : https://cppwind.com/get-to-know-a-flow-feature-the-stack-effect/)

ตัวอย่างในชีวิตจริง

1 ไฟป่า Carr Fire (แคลิฟอร์เนีย, 2018) หนึ่งในทอร์นาโดไฟที่โด่งดังที่สุดเกิดขึ้นระหว่างไฟป่า Carr Fire ใกล้เมืองเรดดิง รัฐแคลิฟอร์เนีย ทอร์นาโดไฟนี้มีความเร็วลมสูงถึง 230 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (143 ไมล์ต่อชั่วโมง) เทียบเท่ากับพายุทอร์นาโดระดับ EF3 ความรุนแรงของไฟนี้ทำลายบ้านเรือนและคร่าชีวิตผู้คน แสดงให้เห็นถึงพลังทำลายล้างของปรากฏการณ์นี้

2 ไฟป่า Canberra Firestorm (ออสเตรเลีย, 2003) ไฟป่ารุนแรงในเมืองแคนเบอร์รา ประเทศออสเตรเลีย ก่อให้เกิดทอร์นาโดไฟที่สร้างความเสียหายอย่างรุนแรง ความแห้งแล้งและป่าไม้ยูคาลิปตัส ซึ่งติดไฟได้ง่าย เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ทอร์นาโดไฟเกิดขึ้นในภูมิภาคนี้

ากระถินในรอบเมืองแคนเบอร์ราได้รับความแห้งแล้งจากภาวะแห้งแล้งยาวนาน และเมื่อไฟลุกลามขึ้นมา มันก็ไม่สามารถควบคุมได้ (ลิขสิทธิ์: Jeff Cutting) (ที่มา : https://www.abc.net.au/news/2013-01-14/canberra-bushfires-craig-allen/4455454)

3 ไฟป่า Peshtigo (วิสคอนซิน, 1871) ไฟป่าที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ เกิดขึ้นในเมืองเพชติโก โดยมีรายงานว่ามีทอร์นาโดไฟที่ช่วยเร่งการลุกลามและเพิ่มความสูญเสีย มีพยานเล่าว่าเปลวไฟหมุนวนเป็นกำแพงไฟที่พัดผ่านป่าอย่างรวดเร็ว

ไฟได้ลุกลามไปทั่วพื้นที่ตะวันออกเฉียงเหนือของรัฐวิสคอนซินและคาบสมุทรตอนบนของรัฐมิชิแกน ก่อนจะหยุดลงเพียงเล็กน้อยก่อนถึงเมืองสเตอเจียนเบย์ โดยได้รับความเอื้อเฟื้อข้อมูลจากพิพิธภัณฑ์ไฟเพชทิโก (Peshtigo Fire Museum) (ที่มา : https://doorcountypulse.com/the-great-fire-of-1871/)

ปัจจัยเอื้อต่อการก่อตัว

ทอร์นาโดไฟเกิดจากปัจจัยที่ซับซ้อนหลายประการ ทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและลักษณะเฉพาะของไฟเอง

1 ความรุนแรงของไฟ ขนาดและความรุนแรงของไฟเป็นตัวกำหนดสำคัญ ไฟที่ใหญ่และปล่อยความร้อนสูงสร้างกระแสลมยกตัวที่จำเป็นต่อการก่อตัวของวังวน

2 ภูมิประเทศ ภูมิประเทศที่เป็นเนินเขาหรือภูเขาสามารถส่งผลต่อรูปแบบการไหลของอากาศ ทำให้เกิดความเฉือนของลมและกำหนดทิศทางความร้อนที่ลอยตัว หุบเขามักทำหน้าที่เป็นช่องทางลม เพิ่มความเร็วลมและเอื้อต่อการพัฒนาวังวน

3 ประเภทของพืชพรรณ พืชบางชนิด เช่น ป่าสนหรือป่ายูคาลิปตัส มีความไวไฟสูง น้ำมันและยางไม้ในพืชเหล่านี้เผาไหม้อย่างรุนแรง สร้างความร้อนและเปลวไฟที่จำเป็นต่อการคงตัวของทอร์นาโดไฟ

4 สภาพอากาศ ความเร็วและทิศทางของลม ลมแรงช่วยเพิ่มโอกาสของการหมุนวน อุณหภูมิ อุณหภูมิสูงทำให้ไฟลุกไหม้ได้ง่ายและรุนแรงขึ้น ความชื้น ความชื้นต่ำทำให้พืชแห้งติดไฟได้ง่าย

ผลกระทบ

1 ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทอร์นาโดไฟสามารถทำลายระบบนิเวศอย่างรุนแรง เผาผลาญพื้นที่ป่าและฆ่าสัตว์ป่า ความร้อนสูงจากทอร์นาโดไฟสามารถฆ่าเชื้อในดิน ทำให้การฟื้นฟูของระบบนิเวศล่าช้า ควันและเถ้าที่เกิดขึ้นยังมีส่วนทำให้เกิดมลพิษทางอากาศและส่งผลต่อสภาพภูมิอากาศในระดับภูมิภาค

2 ผลกระทบต่อมนุษย์ ความไม่แน่นอนของทอร์นาโดไฟทำให้มันอันตรายมากสำหรับนักดับเพลิงและชุมชนใกล้เคียง ทอร์นาโดไฟสามารถเปลี่ยนทิศทางได้อย่างรวดเร็วและแพร่กระจายไฟข้ามระยะทางไกล สร้างความร้อนสูงจนยากต่อการควบคุม

3 ความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐาน ทอร์นาโดไฟสามารถทำลายอาคาร รถยนต์ และสายไฟฟ้าได้อย่างรุนแรง ลมแรงที่เกี่ยวข้องกับวังวนสามารถยกเศษซากขึ้นไปในอากาศ เพิ่มระดับความเสียหาย

การพยากรณ์และป้องกัน

1 ระบบเตือนภัยล่วงหน้า ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการพยากรณ์อากาศและภาพถ่ายดาวเทียมช่วยปรับปรุงความสามารถในการพยากรณ์เงื่อนไขที่เอื้อต่อทอร์นาโดไฟ โดยการติดตามรูปแบบลม อุณหภูมิ และพฤติกรรมของไฟแบบเรียลไทม์ นักวิทยาศาสตร์สามารถแจ้งเตือนพื้นที่เสี่ยงได้

2 การจัดการที่ดิน การจัดการที่ดินอย่างเหมาะสม เช่น การเผาควบคุมและการกำจัดพืชพรรณที่แห้ง สามารถลดความเสี่ยงของไฟป่าขนาดใหญ่และทอร์นาโดไฟได้

3 การฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ดับเพลิง การฝึกอบรมเฉพาะทางสำหรับนักดับเพลิงในการจดจำและรับมือกับทอร์นาโดไฟเป็นสิ่งสำคัญ การเข้าใจสัญญาณการก่อตัวของวังวนสามารถช่วยชีวิตและลดความสูญเสียได้

สรุป ทอร์นาโดไฟเป็นตัวอย่างที่น่าทึ่งของพลังธรรมชาติ เกิดจากการบรรจบกันของไฟ ลม และพลศาสตร์ของชั้นบรรยากาศ แม้จะหายาก แต่ความถี่ของทอร์นาโดไฟที่เพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สะท้อนถึงความท้าทายที่เพิ่มขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและไฟป่า การทำความเข้าใจวิทยาศาสตร์เบื้องหลังทอร์นาโดไฟจะช่วยให้เราพยากรณ์ รับมือ และลดผลกระทบที่รุนแรงต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

. . .
บทความล่าสุด : www.mitrearth.org
เยี่ยมชม facebook : มิตรเอิร์ธ – mitrearth

Share: