![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2022/04/8-23-0-750x375.jpg)
ธรณีสัณฐาน (geomorphology) คือ ศาสตร์ที่ว่าด้วยการศึกษา ภูมิลักษณ์ (landform) หรือ ลักษณะภูมิประเทศ แบบต่างๆ (ภูเขา แม่น้ำ ที่ราบสูงเนิน ที่ราบน้ำท่วมถึง ฯลฯ) ที่สื่อถึง พลวัต (dynamic) หรือกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของโลกทั้ง กระบวนการภายในโลก เช่น กระบวนการทางธรณีแปรสัณฐาน ภูเขาไฟ แผ่นดินไหว และ กระบวนการพื้นผิวโลก เช่น กระบวนการผุพังและการกัดกร่อนพื้นผิวโลก ซึ่งผลประกอบกันระหว่างกระบวนการทั้งภายในและพื้นผิวโลก ส่งผลให้เกิดภูมิลักษณ์เฉพาะตัว ที่สามารถแปลความเป็นไปเป็นมา หรือประวัติทางธรณีวิทยาของโลกใบนี้ได้ ในหลากหลายมิติและแง่มุม ซึ่งบทความนี้ตั้งใจที่จะแชร์หนึ่งจากหลายๆ หลักคิด หนึ่งในตัวอย่างการวิเคราะห์ภูมิประเทศ ระหว่างตัวละคร ภูเขา และ แม่น้ำ เพื่อลำดับเหตุการณ์หรือวิวัฒนาการก่อน-หลัง ของการเกิดภูเขาและแม่น้ำในพื้นที่ต่างๆ
สันเขา – ร่องเขา
โดยธรรมชาติ พื้นที่สูงของโลก ซึ่งยกตัวขึ้นมาได้ก็เพราะกระบวนการภายในโลกอย่าง ธรณีแปรสัณฐาน (tectonic) เมื่อเวลาผ่าน พื้นที่สูงก็จะถูกกัดกร่อนและพัดพาตะกอนลงไปทับถมในพื้นที่ลุ่มต่ำ อันเป็นผลเนื่องมาจาก 1) กระบวนการผุพัง (weathering) 2) กระบวนการย้ายมวล (mass wasting) และ 3) การกัดกร่อน (erosion) ที่ดำเนินไปตามกาลเวลา ส่งผลให้ท้ายที่สุด บนภูเขาก็จะประกอบไปด้วยแนว สันเขา (ridge) และ ร่องเขา (valley) แทรกสลับกันอย่างเป็นระบบ
![](https://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2019/07/8-4-0.jpg)
นอกจากนี้ จากการศึกษา ร่องเขา (valley) หรือ ธารน้ำ (stream) ในธรรมชาติ นักธรณีวิทยายังพบว่า ทิศทางการไหลของธารน้ำขึ้นอยู่กับภูมิประเทศ ที่เป็นผลมาจากลักษณะทางธรณีวิทยาในแต่ละพื้นที่ ทำให้เกิด รูปแบบธารน้ำ (drainage pattern) ที่มีลักษณะเฉพาะตัวแตกต่างกัน เอื้อประโยชน์อย่างมาก ในการแปลความทางธรณีวิทยาในมิติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การจำแนกภูมิลักษณ์ทางภูมิศาสตร์ในเบื้องต้น (ภูเขาไฟ แม่น้ำ ร่องเขา) การจำแนกการกระจายตัวของหิน (หินตะกอน หินอัคนี หินแปร) หรือแม้กระทั่งการวิเคราะห์โครงสร้างทางธรณีวิทยาใต้พื้นดิน (รอยเลื่อน ชั้นหินคดโค้ง ระบบรอยแตกของหิน)
![](https://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2019/12/8-4-2.jpg)
เพิ่มเติม : การจัดระบบและจัดจำแนกรูปแบบธารน้ำในธรรมชาติ
ซึ่งหัวใจหลักของการพูดคุยกันในบทความนี้ คือในสภาวะปกติ เมื่อภูเขาเกิดขึ้นมาและถูกน้ำกัดกร่อน โดยภาพรวม ลำน้ำ (stream) แทบทุกแขนงจะไหลตาม ร่องเขา (valley) แต่ก็มีบ้าง ในบางภูเขาที่ไม่เป็นเช่นนั้น
เขาขวางน้ำ – น้ำตัดเขา
อย่างที่เกริ่นไป ในบางพื้นที่พบกรณี เขาขวางน้ำ – น้ำตัดเขา บางท่านอาจจะสงสัยว่า ตัดเขาแบบไหน ? ตัดเขายังไง ? วิธีสังเกตคือ หากมองภูมิประเทศแล้วแปลความได้ว่า แนวเทือกเขาทอดยาวต่อเนื่องกัน แต่มีแม่น้ำตัดผ่านแนวเทือกเขา แบ่งเทือกเขาที่ดูว่าต่อเนื่องกัน ออกเป็น 2 ท่อน นั่นคือภูมิลักษณ์แบบ แม่น้ำตัดเขา ซึ่งจะแตกต่างจากธารน้ำหรือแม่น้ำโดยทั่วไป ที่มักจะไหลล้อไปตาม ร่องเขา (valley) ที่ถูกพัฒนาขึ้นมา ก่อนที่น้ำจะได้ไหล
สาเหตุของการเกิด แม่น้ำไหลตัดขวางแนวเทือกเขา จะแตกต่างจากแม่น้ำทั่วไปที่ไหลอยู่ตามร่องเขา โดยในกรณีของ 1) แม่น้ำไหลอยู่ตามร่องเขา ในทางสัณฐานวิทยาแปลความว่า เมื่อเกิดภูเขายกตัวขึ้น ธารน้ำและแม่น้ำที่อยู่บนเทือกเขา จะพยายามกัดกร่อนเขาเป็นร่อง และไหลล้อไปตามร่องเขา นั่นหมายความว่า ภูเขาเกิดก่อน กระบวนการทางน้ำจึงมากัดกร่อนในภายหลัง
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2019/12/8-3-1-1024x619.jpg)
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2021/01/8-3-6-1024x536.jpg)
ส่วนในกรณี 2) แม่น้ำไหลตัดผ่านแนวเทือกเขา ในทางสัณฐานวิทยาแปลความว่า แม่น้ำไหลอยู่ในพื้นที่อยู่ก่อนแล้ว หลังจากนั้นด้วยกระบวนการทางธรณีแปรสัณฐานภายในโลกจึงค่อยๆ ยกพื้นที่ขึ้นจนกลายเป็นเทือกเขา ซึ่งตลอดระยะเวลาของการค่อยๆ ยกตัวของภูเขา ส่วนที่แม่น้ำไหลอยู่ก็จะถูกกัดก่อนอย่างรุนแรง ในขณะที่พื้นที่ด้านข้างของแม่น้ำ ก็จะยกตัวตามธรรมชาติจากแรงภายในโลก ส่งผลให้เมื่อเวลาผ่านไปจึงเกิด เทือกเขาที่เป็นแนวเดียวกัน อันเนื่องมาจากกระบวนการธรณีแปรสัณฐานเดียวกัน แต่ถูกตัดขาดด้วยแม่น้ำ จนเป็นร่อง ซึ่งถ้าร่องนี้มีน้ำไหลผ่าน เราเรียกว่า หุบเขาทางน้ำ (water gap) หรือถ้าไม่มีน้ำแต่ก็เป็นช่องให้ลมวิ่งผ่านไปได้ ก็เรียกว่า หุบเขาทางลม (wind gap) ซึ่งทั้งสองคำนี้แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับ ร่องเขา (valley) โดยเฉพาะในแง่กระบวนการเกิด และนัยสำคัญในการแปลความทางธรณีวิทยา
![](https://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2019/09/4-55-6.jpg)
![](https://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2019/09/4-55-1.jpg)
![](https://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2023/03/8-23-4-1024x536.jpg)
![](https://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2020/07/4-55-10.jpg)
กรณีศึกษา : แม่น้ำโขง
ในกรณีศึกษาแม่น้ำโขง จะเห็นได้ว่าช่วงต้นน้ำของแม่น้ำโขงในประเทศจีน น้ำโขงจะไหลสอดคล้องล้อไปกับ ร่องเขา (valley) (รูป ก) ดังนั้นจึงอนุมานได้ว่า ภูเขาน่าจะเกิดก่อนและพัฒนาร่องเขา เพื่อเอื้อให้น้ำไหลผ่าน จนกลายเป็นแม่น้ำโขงมาทีหลัง
![](https://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2022/05/8-23-1-1024x849.jpg)
ส่วนแม่น้ำโขงแถบจังหวัดเลยของไทย จะสังเกตเห็นว่าเขาทางตอนเหนือและตอนใต้ของแม่น้ำโขง มีความเป็นแนวเดียวกัน เหมือนจะเคยต่อเนื่องกันมาก่อน (รูป ข-ค) แต่ปัจจุบันมีแม่น้ำโขงตัดผ่าน ผ่ากลางแนวเขา โดยในทางธรณีวิทยา ลักษณะภูมิประเทศแบบนี้เรียกว่า หุบเขาทางน้ำ (water gap) หรือ หุบเขาทางลม (wind gap) ซึ่งหมายความว่า แม่น้ำนั้นเคยไหลผ่านพื้นที่หรืออยู่มาก่อน ตั้งแต่สมัยพื้นที่แถบนั้นยังเป็นที่ราบ ก่อนที่แนวเทือกเขาที่ทอดยาวเหนือใต้นี้จะค่อยๆ ยกตัวขึ้น และตลอดระยะเวลาที่ภูเขายกหัวขึ้น แม่น้ำก็ค่อยๆ ไถกัดเฉียดหัว ตัดเขาไปเรื่อยๆ จนกลายเป็น ร่องน้ำขวางเขา อย่างที่เห็น
ดังนั้น ถ้าเทียบอายุกัน แปลความถัวๆ คร่าวๆ ภูเขาจีนในรูป ก แก่ที่สุด รองลงมาคือ แม่น้ำโขง และน้องนุชสุดท้องคือ ภูเขาที่จังหวัดเลย (รูป ข-ค)
กรณีศึกษา : แม่น้ำยม
จากรูปแสดงเส้นทางการไหลของแม่น้ำยมจาก อ. เมืองแพร่ ไหลลงสู่ อ. สูงเม่น อ. เด่นชัย อ. ลอง อ. วังชิ้น และท้ายที่สุดไหลลงสู่ที่ราบลุ่มภาคกลางตอนบนที่ อ. ศรีสัชนาลัย จ. สุโขทัย จะเห็นได้ว่าในช่วงแรกแม่น้ำยมไหลอยู่ภายในแอ่งแพร่ตามปกติ จนกระทั่งไหลออกจากแหล่งแพร่ที่ อ. เด่นชัย สู่ อ. ลอง แม่น้ำยมในช่วงนี้ จะตัดขวางภูเขาทางตะวันตกของแอ่งแพร่ ที่ทอดยาวในแนวตะวันออกเฉียงเหนือ-ตะวันตกเฉียงใต้
![](https://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2022/05/8-23-2-683x1024.jpg)
นอกจากนี้แม่น้ำยมในช่วง อ. วังชิ้น ถึง อ. ศรีสัชนาลัย ก็แสดงพฤติกรรมลำน้ำตัดขวางแนวเทือกเขาอ่อนๆ เช่นกัน แปลความได้ว่า 1) เทือกเขาทางซ้ายและขวาที่ควบคุมแหล่งแพร่ เกิดขึ้นมาก่อน ทำให้แม่น้ำยมไหลอยู่ในที่ราบลุ่มต่ำระหว่างแนวเทือกเขาทั้งสอง อย่างไรก็ตาม แนวเทือกเขาทางตอนใต้ของแอ่งแพร่นั้น ถูกตัดและขัดขวางทางโดยแม่น้ำยม จึงแปลความได้ว่า 2) กลุ่มเทือกเขาทางตอนใต้มีอายุอ่อนกว่าแม่น้ำยม และ 3) แม่น้ำยม ก็มีอายุอ่อนกว่า เทือกเขาที่ประกบซ้ายขวาของแอ่งแพร่ เช่นกัน
แก่ง – โบก
ในการจำแนกภูมิประเทศ เพื่อให้เห็นความแตกต่างระหว่าง 1) ร่องเขา (valley) ธรรมดาๆ และ 2) หุบเขาทางน้ำ (water gap) หรือ หุบเขาทางลม (wind gap) นอกจากจะมีประโยชน์ในการลำดับอายุการเกิดของแนวเทือกเขาและแม่น้ำ ภูมิลักษณ์ที่เรียกว่า หุบเขาทางน้ำ-ทางลม ยังเป็นตัวบ่งชี้การเกิด แก่ง (rapids) ในลำน้ำอีกด้วย เพราะในธรรมชาติที่แม่น้ำไหลตาม ร่องเขา (valley) หรือที่ราบ นั่นหมายความว่าไม่มีการต่อสู้กันระหว่างร่องน้ำและหินฐานเดิมใต้พื้นที่ ในขณะที่บริเวณ หุบเขาทางน้ำ-ทางลม พื้นที่จะเป็นหินแข็งที่กำลังต่อสู้กัน ระหว่างการยกตัวขึ้นทางธรณีแปรสัณฐานและการกัดกร่อนของทางน้ำ ทำให้บริเวณดังกล่าวเกิดสภาพภูมิประเทศแบบ แก่ง (rapids) ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญในบ้านเรา ดังนั้นหากต้องการพบสถานที่ท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะ แก่ง (rapids) เราสามารถตรวจหาได้จากหลักการแม่น้ำตัดเขาได้อย่างดี โดยไม่จำเป็นต้องลงทุนลงแรง ลงพื้นที่สำรวจทุกทุกตารางนิ้ว ให้เหนื่อยฟรี
แก่ง (rapids) แปลว่า ลานหิน ลานหินที่มีในลำน้ำชี น้ำมูล น้ำโขง เวลาน้ำลดจะเห็นแผ่นหิน เช่น แก่งสะพือ แก่งตะนะในแม่น้ำมูล อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี
ที่มา : https://esan108.com
![](https://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2022/05/8-23-3-803x1024.jpg)