แทบทุกครั้ง หลังจากเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินไหวขนาด 9.1 ทางตอนเหนือของเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อปี พ.ศ. 2547 ที่ทำให้เกิดสึนามิที่บ้านเรา แผ่นดินไหวขนาด 8.9 นอกชายฝั่งเมืองโทโฮคุ ประเทศญี่ปุ่น พ.ศ. 2554 ที่ทำให้เกิดสึนามิซัดญี่ปุ่น แผ่นดินไหวขนาด 8.2 ประเทศฟิจิ พ.ศ. 2561 ฯลฯ ข่าวลือเรื่องโลกกำลังจะวิบัติก็จะถูกกระพือออกมาเป็นระลอกๆ
ยิ่งไปกว่านั้น แทบทุกๆ กลางปี (เดือนกรกฏาคม-กันยายน) ในประเทศไทย จะเริ่มมีท่านผู้นั้น องค์ผู้นี้ หรือผู้มีญาณวิเศษในหลากหลายแขนง เริ่มเห็นนิมิตและประโคมข่าวให้ชาวไทยหลอนกันเล่นๆ ว่า โลกเปลี่ยนไป โลกใกล้จะแตก และจะเกิดภัยพิบัติ โดยเฉพาะแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ ในอีกไม่ช้า บางสำนักหาญกล้า เคาะกันซึ่งๆ หน้าเลยว่า ไม่เกินเดือนธันวาคมปีนี้ พวกเราโดนแน่ !!! ติดตามข่าวพวกนี้มาได้สักพัก ดูเหมือนกับว่าไม่ได้มีทีท่าจะอ่อนกำลังลง แล้วนับวันก็ยิ่งจะมีผู้ติดตามหรือผู้เลื่อมใสศรัทธามากยิ่งขึ้น อย่ากระนั้นเลยครับก่อนที่ความเชื่อจะขยายวงกว้างไปกันใหญ่ อยากให้ทุกๆ ท่านลองดูแนวคิดง่ายๆ ทางวิทยาศาสตร์ และผลการศึกษาจากแนวคิดดังกล่าว ว่าปัจจุบันโลกใบนี้เปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน โดยเฉพาะเรื่องแผ่นดินไหว
จริงๆ แล้ว การที่จะดูว่าโลกของเรานั้นดุขึ้นหรือไม่โดยเฉพาะเรื่องแผ่นดินไหว เราสามารถตรวจเช็คได้ไม่ยาก โดยใช้แนวคิดคล้ายๆ กับแนวคิดที่พ่อแม่เคยสอนเราตอนเด็กๆ เรื่องการออมเงิน หรือแนวคิดที่เราสอนลูกๆ ให้รู้จักหยอดกระปุกออมสิน ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าเราให้ตังค์ลูกไปหยอดกระปุกออมสินวันละ 1 บาท ผ่านไป 10 วัน ลูกเราจะมีตังค์อยู่เท่าไหร่ ? ใช่ครับ !!! ก็ 10 บาทไง เรื่องของแผ่นดินไหวก็เหมือนกัน สมมุติว่าเกิดแผ่นดินไหวทุกๆ วัน วันละ 1 ครั้ง พอครบ 100 วัน แล้วเป็นยังไง ? (ซดกะเพาะปลาเสร็จ ก็ขึ้นเผาเลย)
หยอกๆๆ ครับ พอครบ 100 วัน จำนวนแผ่นดินไหวสะสม (cumulative number) ที่บันทึกไว้ได้ก็จะมีทั้งหมด 100 เหตุการณ์ โดยในแต่ละวันจะมีเหตุการณ์แผ่นดินไหวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยอัตราการเพิ่มขึ้นคงที่ คือ เพิ่มขึ้นวันละ 1 เหตุการณ์ ซึ่งถ้าเราลองสร้างกราฟจำนวนแผ่นดินไหวสะสมขึ้น กราฟที่ได้ก็จะเป็น เส้นตรง โดยที่ความชันของกราฟนั้นก็คืออัตราการเกิดแผ่นดินไหว ซึ่งจะแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ ขึ้นอยู่กับว่าแหล่งกำเนิดแผ่นดินไหวตรงไหนดุดัน ตรงไหนหน่อมแน้ม
ทีนี้เราลองมาดูว่าแผ่นดินไหวที่เคยเกิดขึ้นมาในอดีตมีพฤติกรรมอย่างไรบ้าง ผู้เขียนได้พยายามสืบค้นข้อมูลและคัดลอกข้อมูลเหตุการณ์แผ่นดินไหวในอดีตที่มีบันทึกไว้จากฐานข้อมูลของหน่วยงาน International Seismological Centre (ISC) ผลที่ได้คือพบบันทึกเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่มีขนาด 5.0 ขึ้นไป จำนวน 86,560 เหตุการณ์ เกิดขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1900-2020 (120 ปี) กระจายตัวอยู่ตามที่ต่างๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณขอบของแผ่นเปลือกโลกอย่างที่เรารู้กัน จริงๆ แล้วอยากและตั้งใจจะเอาบันทึกแผ่นดินไหวทุกขนาดมากางให้ดู แต่ติดตรงที่มันเยอะมากจนเครื่องคอมพิวเตอร์รับไม่ไหว งั้นเราก็ดูกันเฉพาะแผ่นดินไหวนาด 5.0 ขึ้นไป ที่พอจะสร้างภัยพิบัติให้กับเราก็พอเนาะ
จากสถิติการเกิดแผ่นดินไหวขนาด 5.0 ขึ้นไป ทั่วโลก ในรอบ 120 ปีที่ผ่านมา พบว่าแผ่นดินไหวที่ใหญ่ที่สุดคือเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 9.5 ที่เกิดขึ้นนอกชายฝั่งประเทศชิลีในปี ค.ศ. 1960 โดยในจำนวน 86,560 เหตุการณ์ ที่บันทึกได้ มีเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่มีขนาดใหญ่กว่า 8.0 ทั้งหมด 90 เหตุการณ์ และขนาด 9.0 ขึ้นไปอีก 5 เหตุการณ์ รวมทั้งแผ่นดินไหวขนาด 9.5 ที่ชิลีด้วย โดยจะสังเกตเห็นว่าในแต่ละขนาดแผ่นดินไหว แผ่นดินไหวขนาดเล็กจะมีอัตราส่วนของการเกิดมากกว่าแผ่นดินไหวขนาดใหญ่เป็นสัดส่วนซึ่งกันและกัน (รูป ก)
ความลึกของแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นได้บนโลกใบนี้อยู่ในช่วง 0 ถึง 700 กิโลเมตร ซึ่งก็เป็นไปตามทฤษฎีการเกิดแผ่นดินไหว ที่แผ่นดินไหวสามารถเกิดได้ลึกถึงขนาดนั้นไม่ได้ผิดแผกหรือแปลกอะไร (รูป ข) หรือถ้าลองดูในแต่ละชั่วโมงของวัน จะพบว่าแผ่นดินไหวก็เกิดพอกันไม่ว่าจะกลางวันหรือกลางคืน (รูป ง) แต่ถ้าลองดูจำนวนแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน (รูป ค) ดูเหมือนว่า แผ่นดินไหวนั้นเกิดขึ้นด้วยอัตราการเกิดที่แตกต่างกันโดยในช่วงก่อนปี ค.ศ. 1950 เหตุการณ์แผ่นดินไหวเกิดน้อยกว่าในช่วงปี ค.ศ. 1950-1970 และเกิดขึ้นด้วยอัตราการเกิดสูงสุดหลังปี ค.ศ. 1970 ขึ้นไป
ซึ่งถ้าจะแปลความกันตรงๆ จากข้อมูลดิบๆ ก้อนนี้ เราอาจจะบอกว่าโลกดุขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1950 และปี ค.ศ. 1970 ตามลำดับ แต่เปล่าเลย !!! จากการศึกษาข้อมูลแผ่นดินไหวในเชิงสถิติของนักแผ่นดินไหว พบว่าการเปลี่ยนแปลงของอัตราการเกิดแผ่นดินไหวเหล่านี้ เกิดมาจาก 2 ปัจจัยหลักๆ คือ 1) การที่เรามีสถานีตรวจวัดมากขึ้น ทำให้เราสามารถฟังข่าวสารจากโลกหรือตรวจวัดแผ่นดินไหวได้ต่อเนื่องยิ่งขึ้น และ 2) การเพิ่มขึ้นของอัตราการเกิดแผ่นดินไหวนี้เป็นส่วนของ แผ่นดินไหวนำ (foreshock) และ แผ่นดินไหวตาม (aftershock) ที่มักเกิดร่วมกับ แผ่นดินไหวหลัก (mainshock)
จะว่าไป ในทาง แผ่นดินไหววิทยา (seismology) และทาง ธรณีแปรสัณฐาน (tectonic) รู้จักและสรุปตรงกันแล้วว่า แผ่นดินไหวหลัก (mainshock) นั้นเกิดจากกระบวนการทางธรณีแปรสัณฐานโดยตรง ในขณะที่แผ่นดินไหวนำและแผ่นดินไหวตามนั้น เกิดจากผลของการเคลื่อนตัวของรอยเลื่อนอันเนื่องมาจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวหลักในแต่ละเหตุการณ์ไป
ดังนั้นถ้าลองเอาแบบจำลองทางสถิติมาคัดกรองและตัดเหตุการณ์แผ่นดินไหวนำและแผ่นดินไหวตามออกไปจะพบว่า มีเหตุการณ์แผ่นดินไหวหลักอยู่เพียง 36,469 เหตุการณ์ (รูป ก) และถ้าลองนำเหตุการณ์แผ่นดินไหวเฉพาะที่บันทึกไว้หลังจากปี ค.ศ. 1970 ซึ่งเป็นช่วงที่มีการติดตั้งระบบตรวจวัดทั่วโลกครั้งใหญ่ ก็จะพบว่ามีเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่บันทึกได้ในปี ค.ศ. 1970 ทั้งสิ้น 22,140 เหตุการณ์
ซึ่งถ้านำข้อมูลแผ่นดินไหวที่ผ่านการตัดแผ่นดินไหวนำและแผ่นดินไหวตาม และตัดผลกระทบจากการติดตั้งสถานีตรวจวัดแผ่นดินไหวเพิ่มขึ้น มาสร้างกราฟจำนวนแผ่นดินไหวสะสม จะพบว่าแผ่นดินไหวสะสมมีอัตราการสะสมตัวที่คงที่หรือเป็นเส้นตรงราบเรียบ (รูป ข) ประดุจดั่งคำขวัญของสายการบินหนึ่งที่ว่า “smooth as silk” นั่นหมายความว่าอัตราการเกิดแผ่นดินไหวทั่วโลกยังคงที่ ไม่เปลี่ยนแปลง และโลกก็ไม่ได้ดุหรือโหดร้ายยิ่งขึ้นในแง่มุมของการเกิดแผ่นดินไหว
นอกจากนี้เพื่อให้แน่ใจว่าอัตราการเกิดแผ่นดินไหวหรือจำนวนแผ่นดินไหวสะสมทั่วโลกนั้นคงที่ ผู้เขียนได้จำแนกแยกแยะปัจจัยต่างๆ ที่ประชาชนทั่วไปอาจคิดว่าส่งผลต่อการเกิดแผ่นดินไหว และลองนำมาสร้างกราฟจำนวนแผ่นดินไหวสะสมให้ดูกัน ผลการวิเคราะห์พบว่า ไม่ว่าจะเดือนกุมภาพันธ์ สิงหาคมหรือแม้กระทั่งเดือนธันวาคม ของทุกๆ ปี เหตุการณ์แผ่นดินไหวก็ยังคงเกิดด้วยอัตราคงที่ หรือจะเป็นรายวัน ไม่ว่าจะวันปีใหม่ วันคริสต์มาส วันรัฐธรรมนูญ วันแรงงาน หรือแม้กระทั่งวันหวยออกของทุกๆ เดือน อัตราการเกิดแผ่นดินไหวก็ยังคงที่
หรือถ้าจะวิเคราะห์ในเชิงพื้นที่ ต่อให้เอาข้อมูลแผ่นดินไหวเฉพาะซีกโลกเหนือ ซีกโลกใต้ ซีกโลกตะวันออกหรือซีกโลกตะวันตก มาวิเคราะห์กราฟจำนวนแผ่นดินไหวสะสม ก็จะพบว่าอัตราการเกิดแผ่นดินไหวยังคงที่ คงที่แม้กระทั่งลองหยิบเหตุการณ์แผ่นดินไหว ที่อยู่ในรัศมี 1,000 2,000 3,000 และ 4,000 กิโลเมตร จากกรุงเทพฯ
นั่นก็หมายความว่า ไม่ว่าจะเอาข้อมูลแผ่นดินไหว (ที่สังเคราะห์ให้สมบูรณ์แล้ว) ในช่วงเวลาไหนๆ หรือ พื้นที่ใดๆ มาวิเคราะห์สร้างกราฟจำนวนแผ่นดินไหวสะสม กราฟก็จะเป็นเส้นตรงเสมอ และโลกก็ยังเหมือนเดิมเสมอมาเช่นกัน
เพราะโลกของแผ่นดินไหว ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
*อาฮ้า อาฮ้า อาฮา ฮา ฮ๊า อะ ฮา ฮ่า ฮะ (* คลอเสียงสูงไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหนำใจ)
. . .
บทความล่าสุด : www.mitrearth.org
เยี่ยมชม facebook : มิตรเอิร์ธ – mitrearth