วิจัย

กว่า 4 ทศวรรษ พัฒนาการการประเมินภัยพิบัติแผ่นดินไหวในประเทศไทย

ประเทศไทยตั้งอยู่ใกล้กับแหล่งกำเนิดแผ่นดินไหวสำคัญมากมาย ซึ่งจากฐานข้อมูลแผ่นดินไหวที่ตรวจวัดได้จากเครื่องมือตรวจวัดแผ่นดินไหว บันทึกประวัติศาสตร์ รวมทั้งข้อมูลธรณีวิทยาแผ่นดินไหว บ่งชี้ว่าเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่หลายครั้ง ซึ่งจากการประมวลผล ความไหวสะเทือนเท่า (isoseismal map) ที่เคยมีการรายงานไว้ในอดีต Pailoplee (2012) สรุปว่าในช่วงปี ค.ศ. 1912-2012 ประเทศไทยเคยได้รับภัยพิบัติแผ่นดินไหวหลายครั้งในระดับความรุนแรงแผ่นดินไหว II-VII ตาม มาตราเมอร์คัลลีแปลง (MMI)

ตัวอย่างแผนที่ความไหวสะเทือนเท่าในประเทศพม่าที่คยส่งผลกระทบด้านแรงสั่นสะเทือนถึงประเทศไทย (ก) แผ่นดินไหวขนาด 8.0 เมืองมัณฑะเลย์ วันที่ 23 เดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1912 (Brown, 1914) (ข) แผ่นดินไหวขนาด 7.3 เมืองพะโค วันที่ 3 ธันวาคม ค.ศ. 1930 (Brown และ Leicester, 1933)

ดังนั้นนักแผ่นดินไหวจึงพยายามประเมินสถานการณ์ภัยพิบัติแผ่นดินไหวในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง และนำเสนอ แผนที่ภัยพิบัติแผ่นดินไหว (seismic hazard map) ที่แตกต่างกันตามแต่ข้อมูลที่ถืออยู่ในมือในแต่ละยุค บทความนี้มีวัถตุประสงค์ที่จะรวบรวมงานวิจัยในอดีตที่เคยมี การประเมินภัยพิบัติแผ่นดินไหว (seismic hazard analysis) ในประเทศไทย นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

Hattori (1980)

Hattori (1980) ประเมินภัยพิบัติแผ่นดินไหวด้วยวิธีความน่าจะเป็น (Probabilistic Seismic Hazard Analysis, PSHA) (Cornell, 1968) ในประเทศไทย โดยประเมินพฤติกรรมการเกิดแผ่นดินไหวของแหล่งกำเนิดแผ่นดินไหวต่างๆ จากฐานข้อมูลแผ่นดินไหวที่ตรวจวัดได้จากเครื่องมือตรวจวัดแผ่นดินไหวของหน่วยงาน NOAA และประยุกต์ใช้แบบจำลองการลดทอนแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหวของ McGuire (1974) และนำเสนอแผนที่แสดงการกระจายตัวเชิงพื้นที่ของค่า PGA (หน่วย gal) ที่แรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหว ≥ PGA ดังกล่าว ในทุก 100 ปี ซึ่งผลการประเมินบ่งชี้ว่าภาคเหนือและภาคตะวันตกของประเทศไทยมีโอกาสได้รับค่า PGA = 20-50 gal (0.02-0.05g) ในขณะที่พื้นที่อื่นๆ ของประเทศไทย ประเมินว่าไม่มีภัยพิบัติแผ่นดินไหว

หลังจากนั้น Santoso (1982) ปรับปรุงผลการประเมิน PSHA ของ Hattori (1980) โดยประเมินพฤติกรรมการเกิดแผ่นดินไหวของแหล่งกำเนิดแผ่นดินไหวต่างๆ จากฐานข้อมูลแผ่นดินไหวที่ตรวจวัดได้จากเครื่องมือตรวจวัดแผ่นดินไหวของหน่วยงาน NOAA ที่เพิ่มขึ้นและฐานข้อมูลแผ่นดินไหวจากหน่วยงานกรมอุตุนิยมวิทยา ประเทศไทย (Thai Meteorological Department, TMD) และนำเสนอแผนที่แสดงการกระจายตัวเชิงพื้นที่ของค่า PGA (หน่วย gal) ที่แรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหว ≥ PGA ดังกล่าว ในทุก 36 ปี และ 74 ปี

Warnitchai และ Lisantono (1996)

Warnitchai และ Lisantono (1996) ประเมิน PSHA ในประเทศไทย โดยใช้ฐานข้อมูลแผ่นดินไหวที่บันทึกไว้ในช่วงเวลา 80 ปี (Nutalaya และคณะ, 1985) เพื่อประเมินพฤติกรรมการเกิดแผ่นดินไหวของเขตกำเนิดแผ่นดินไหวต่างๆ ซึ่งจำแนกโดย Nutalaya และคณะ (1985) โดยประเมินค่า PGA จากแบบจำลองการลดทอนแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหวของ Esteva และ Villaverde (1973) และนำเสนอแผนที่ภัยพิบัติแผ่นดินไหวแสดงการกระจายตัวเชิงพื้นที่ของค่า PGA (หน่วย g) ที่มีโอกาส 10% POE ในอีก 50 ปี ผลการประเมินบ่งชี้ว่าภาคเหนือและภาคตะวันตกของประเทศไทยตั้งอยู่ในพื้นที่ภัยพิบัติแผ่นดินไหวปานกลาง โดยมีค่า PGA สูงที่สุดประมาณ 0.27g

แผนที่ประเทศไทยและพื้นที่ข้างเคียงแสดงการกระจายตัวเชิงพื้นที่ของ (ก) ค่า PGA (หน่วย gal) ที่แรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหว ≥ PGA ดังกล่าว ในทุก 100 ปี (Hattori, 1980) (ข) ค่า PGA (หน่วย g) ที่มีโอกาส 10% POE ในอีก 50 ปี (Warnitchai และ Lisantono, 1996)

Petersen และคณะ (2007)

Petersen และคณะ (2007) ประเมิน PSHA ครอบคลุมพื้นที่ภูมิภาคอาเซียนแผ่นดินใหญ่รวมทั้งประเทศไทย โดยประยุกต์ใช้ข้อมูลธรณีวิทยาแผ่นดินไหวร่วมกับฐานข้อมูลแผ่นดินไหวที่ตรวจวัดได้จากเครื่องมือตรวจวัดแผ่นดินไหวในการประเมินพฤติกรรมกรรมการเกิดแผ่นดินไหวของแหล่งกำเนิดแผ่นดินไหวต่างๆ โดยเฉพาะพื้นที่ประเทศไทย Petersen และคณะ (2007) พิจารณารอยเลื่อนมีพลัง เช่น รอยเลื่อนแม่จันและรอยเลื่อนเจดีย์สามองค์ เป็นต้น และประยุกต์ใช้แบบจำลองการลดทอนแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหวของ Sadigh และคณะ (1997) และนำเสนอผลการประเมิน PSHA ในรูปแบบของแผนที่แสดงการกระจายตัวเชิงพื้นที่ของค่า PGA (หน่วย %g) ที่มีโอกาส 2% POE และ 10% POE ในอีก 50 ปี

โดยผลการประเมินบ่งชี้ว่าประเทศไทยมีโอกาส 2% POE ในอีก 50 ปี ที่จะได้รับค่า PGA อยู่ในช่วง 5-20%g (0.05-0.20g) โดยพื้นที่ซึ่งมีภัยพิบัติแผ่นดินไหวสูงที่สุด ได้แก่ ภาคเหนือและภาคตะวันตกของประเทศไทยซึ่งมีรอยเลื่อนมีพลังวางตัวอยู่ ส่วนในกรณีของโอกาส 10% POE ในอีก 50 ปี พบว่าประเทศไทยมีโอกาสได้รับค่า PGA ประมาณ 1-5%g (0.01-0.05g)

แผนที่ประเทศไทยและพื้นที่ข้างเคียงแสดงการกระจายตัวเชิงพื้นที่ของค่า PGA (หน่วย %g) ที่มีโอกาส (ก) 2% POE และ (ข) 10% POE ในอีก 50 ปี (Petersen และคณะ, 2007)

นอกจากนี้ Pailoplee และคณะ (2008) Pailoplee และคณะ (2009a) Pailoplee และคณะ (2010b; c) และ สันติ ภัยหลบลี้ และคณะ (2553) ประเมิน PSHA โดยพิจารณาแหล่งกำเนิดแผ่นดินไหวแบบรอยเลื่อนจำนวน 55 รอยเลื่อน (Pailoplee และคณะ, 2009a) รวมทั้งเขตกำเนิดแผ่นดินไหวจำนวน 21 เขตกำเนิด (กรมทรัพยากรธรณี, 2548) และประเมินพฤติกรรมการเกิดแผ่นดินไหวจากข้อมูลธรณีวิทยาแผ่นดินไหวร่วมกับฐานข้อมูลแผ่นดินไหวที่ตรวจวัดได้จากเครื่องมือตรวจวัดแผ่นดินไหว

ในส่วนของแบบจำลองการลดทอนแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหว จากการเปรียบเทียบข้อมูลแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหวที่มีอยู่ในขณะนั้นจำนวน 7 ข้อมูล กับแบบจำลองการลดทอนแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหวจากงานวิจัยในอดีต Pailoplee และคณะ (2009a) และ Pailoplee และคณะ (2010b) ประยุกต์ใช้แบบจำลองการลดทอนแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหวของ Kobayashi และคณะ (2000) เป็นแบบจำลองการลดทอนแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหวที่เกิดจากรอยเลื่อนต่างๆ ภายในแผ่นเปลือกโลก (intraplate earthquake) ส่วนในกรณีของแผ่นดินไหวที่เกิดระหว่างขอบการชนกันของแผ่นเปลือกโลก (interplate earthquake) และบริเวณแผ่นที่มุดลงไปในชั้นเนื้อโลก (intraslab earthquake) Pailoplee และคณะ (2009a) และ Pailoplee และคณะ (2010b) ประยุกต์ใช้แบบจำลองการลดทอนแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหวของ Petersen และคณะ (2004) เพื่อเป็นแบบจำลองการลดทอนแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหวที่เกิดตามเขตมุดตัวของเปลือกโลกสุมาตรา-อันดามัน และนำเสนอผลการประเมิน PSHA ในรูปแบบของแผนที่ภัยพิบัติแผ่นดินไหวแสดงการกระจายตัวเชิงพื้นที่ของค่า PGA (หน่วย %g) ที่มีโอกาส 2% POE และ 10% POE ในอีก 50 ปี (Pailoplee และคณะ, 2010b)

แผนที่ประเทศไทยและพื้นที่ข้างเคียงแสดงการกระจายตัวเชิงพื้นที่ของค่า PGA (หน่วย g) ที่มีโอกาส (ก) 2% POE (ข) 10% POE ในอีก 50 ปี (Pailoplee และคณะ, 2010b)

ผลการประเมินบ่งชี้ว่า พื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันตกของประเทศไทยเป็นพื้นที่ภัยพิบัติแผ่นดินไหวสูงที่สุด โดยหากพิจารณาที่โอกาส 2% POE และ 10% POE ในอีก 50 ปี Pailoplee และคณะ (2010b) ประเมินว่าภาคเหนือและภาคตะวันตกของประเทศไทยมีโอกาสได้รับค่า PGA ประมาณ 0.20-0.30g และ 0.20-0.25g ตามลำดับ ในขณะที่ภาคอื่นๆ ของประเทศไทยมีโอกาสได้รับค่า PGA ประมาณ 0.05-0.10g

Palasri และ Ruangrassamee (2010)

Palasri และ Ruangrassamee (2010) ประเมิน PSHA โดยพิจารณาเขตกำเนิดแผ่นดินไหวซึ่งนำเสนอโดยกรมทรัพยากรธรณี (2548) และพิจารณาพฤติกรรมการเกิดแผ่นดินไหวจากฐานข้อมูลแผ่นดินไหวที่ตรวจวัดได้จากเครื่องมือตรวจวัดแผ่นดินไหว นอกจากนี้ Palasri และ Ruangrassamee (2010) นำเสนอว่าแบบจำลองการลดทอนแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหวของ Sadigh และคณะ (1997) เหมาะสมกับแผ่นดินไหวที่เกิดจากรอยเลื่อนภายในแผ่นเปลือกโลกและแบบจำลองการลดทอนแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหวของ Petersen และคณะ (2004) เหมาะสมกับเขตมุดตัวของเปลือกโลกสุมาตรา-อันดามัน

แผนที่ประเทศไทยและพื้นที่ข้างเคียงแสดงการกระจายตัวเชิงพื้นที่ของค่า PGA (หน่วย g) ที่มีโอกาส (ก) 2% POE และ (ข) 10% POE ในอีก 50 ปี (Palasri และ Ruangrassamee, 2010)

ผลการประเมินสรุปว่าค่า PGA ที่มีโอกาส 2% POE ในอีก 50 ปี มีค่าสูงในภาคตะวันตกของประเทศไทย โดยเฉพาะบริเวณจังหวัดกาญจนบุรีและจังหวัดตาก (PGA = 0.30g) ส่วนภาคเหนือของประเทศไทยมีโอกาสได้รับค่า PGA ประมาณ 0.40g และในขณะที่กรุงเทพมหานครมีค่า PGA ประมาณ 0.02g ในกรณีของโอกาส 10% POE ในอีก 50 ปี มีการกระจายตัวเชิงพื้นที่ของภัยพิบัติใกล้เคียงกับในกรณีของโอกาส 2% POE ในอีก 50 ปี แต่ค่า PGA ต่ำกว่าประมาณ 0.5 เท่า ในทุกพื้นที่ของประเทศไทย (Palasri และ Ruangrassamee, 2010)

นับตั้งแต่งานวิจัยในอดีตของ Hattori (1980) จนกระทั่ง Palasri และ Ruangrassamee (2010) บ่งชี้ว่าการตั้งสมมุติฐานของแหล่งแผ่นดินไหว พฤติกรรมการเกิดแผ่นดินไหว รวมทั้งการเลือกใช้แบบจำลองการลดทอนแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหวมีความแตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม จากการศึกษางานวิจัยในอดีตในช่วงปี ค.ศ. 2011-2016 พบว่าสมมุติฐานและแบบจำลองที่จำเป็นต่อการประเมินภัยพิบัติแผ่นดินไหวในประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากมีข้อมูลที่แสดงถึงพฤติกรรมการเกิดแผ่นดินไหวเพิ่มขึ้น เช่น เขตกำเนิดแผ่นดินไหวของภูมิภาคอาเซียนแผ่นดินใหญ่มีการปรับปรุงเพิ่มเติม (รูป 4ข; Pailoplee และ Choowong, 2013) ฐานข้อมูลแผ่นดินไหวที่ตรวจวัดได้จากเครื่องมือตรวจวัดแผ่นดินไหวมีการตรวจวัดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง (Pailoplee, 2014c) ข้อมูลธรณีวิทยาแผ่นดินไหวที่มีการสำรวจเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง (Pailoplee และ Charusiri, 2015b; 2016) รวมทั้งแบบจำลองการลดทอนแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหวที่เปลี่ยนแปลงและประเมินว่ามีความแม่นยำมากขึ้น (Chintanapakdee และคณะ, 2008) ดังนั้น Pailoplee และ Charusiri (2016) จึงประเมิน PSHA จากสมมุติฐาน แบบจำลองและข้อมูลที่แสดงถึงพฤติกรรมการเกิดแผ่นดินไหวดังกล่าว

วิวัฒนาการการประยุกต์ใช้สมมุติฐาน แบบจำลองและข้อมูลพฤติกรรมการเกิดแผ่นดินไหวในการประเมิน PSHA ในประเทศไทย (Pailoplee และ Charusiri, 2015b; 2016)

อ้างอิง แหล่งกำเนิดแผ่นดินไหว พฤติกรรมการเกิดแผ่นดินไหว
Hattori (1980) EQ1 (NOAA)
Santoso (1982) EQ1 (NOAA, TMD)
Shrestha (1987) SSZ (Nutalaya และคณะ, 1985) EQ1 (Nutalaya และคณะ, 1985)
Warnitchai และ Lisantono (1996) SSZ (Nutalaya และคณะ, 1985) EQ1 (Nutalaya และคณะ, 1985)
Petersen และคณะ (2007) SSZ (Petersen และคณะ, 2007) EQ1 (NEIC, ISC) EQ2
Pailoplee และคณะ (2009a) AF (Pailoplee และคณะ, 2009a) EQ1 (NEIC, ISC, TMD) EQ2
Pailoplee และคณะ (2010b) SSZ (กรมทรัพยากรธรณี, 2548) EQ1 (NEIC, ISC, TMD)
Palasri และ Ruangrassamee (2010) SSZ (กรมทรัพยากรธรณี, 2548) EQ1 (NEIC, ISC, TMD)

หมายเหตุ: 1) SSZ คือ เขตกำเนิดแผ่นดินไหว 2) AF คือ รอยเลื่อน 3) EQ1 คือ ข้อมูลแผ่นดินไหวที่ตรวจวัดได้จากเครื่องมือตรวจวัดแผ่นดินไหว เช่น ค่า a และค่า b จากสมการความสัมพันธ์ FMD และ 4) EQ2 คือ ข้อมูลธรณีวิทยาแผ่นดินไหว เช่น MCE และอัตราเลื่อนตัวของรอยเลื่อน

2) แหล่งกำเนิดแผ่นดินไหวและพฤติกรรมการเกิดแผ่นดินไหว (earthquake source and activity) สืบเนื่องจากข้อมูลธรณีวิทยาแผ่นดินไหวที่มีอยู่อย่างจำกัด การประเมินภัยพิบัติแผ่นดินไหวในประเทศไทยในอดีตส่วนใหญ่จึงพิจารณาแหล่งกำเนิดแผ่นดินไหวแบบเขตกำเนิดแผ่นดินไหวเป็นหลัก เช่น Shrestha (1987) Warnitchai และ Lisantono (1996) Pailoplee และคณะ (2010b; c) Palasri และ Ruangrassamee (2010) และ สันติ ภัยหลบลี้ และคณะ (2553) เป็นต้น ถึงแม้ว่า Petersen และคณะ (2007) และ Pailoplee และคณะ (2009a) จะพิจารณาทั้งแหล่งกำเนิดแผ่นดินไหวแบบรอยเลื่อนและเขตกำเนิดแผ่นดินไหว และประเมินพฤติกรรมการเกิดแผ่นดินไหวจากข้อมูลธรณีวิทยาแผ่นดินไหวร่วมกับฐานข้อมูลแผ่นดินไหวที่ตรวจวัดได้จากเครื่องมือตรวจวัดแผ่นดินไหว แต่พฤติกรรมการเกิดแผ่นดินไหวดังกล่าว ประเมินจากตัวแปรด้านแผ่นดินไหวโดยรวม (MCE และอัตราเลื่อนตัวของรอยเลื่อน) เช่น รอยเลื่อนระนองและรอยเลื่อนคลองมะรุ่ย Pailoplee และคณะ (2009a) ประเมินว่ามีอัตราเลื่อนตัวของรอยเลื่อนโดยรวม 0.10 และ 1.00 มิลลิเมตร/ปี ตามลำดับ อย่างไรก็ตามจากการศึกษางานวิจัยในอดีต Pailoplee และ Charusiri (2016) พบว่าปัจจุบันมีการศึกษาธรณีวิทยาแผ่นดินไหวตามแหล่งกำเนิดแผ่นดินไหวสำคัญในประเทศไทย ≥ 55 พื้นที่ จาก 13 โครงการ (Pailoplee และ Charusiri, 2016) ได้แก่

พื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทย พบการขุดร่องสำรวจธรณีวิทยาแผ่นดินไหว 31 พื้นที่ (กรมชลประทาน, 2549; กรมทรัพยากรธรณี, 2552a; กรมทรัพยากรธรณี, 2552b; กรมทรัพยากรธรณี, 2554; ปัญญา จารุศิริ และคณะ, 2554) ซึ่งรายงานอัตราเลื่อนตัวของรอยเลื่อนแตกต่างกัน เช่น รอยเลื่อนแพร่ (Phrae Fault; Udchachon และคณะ, 2003) มีอัตราเลื่อนตัวของรอยเลื่อน 0.03 มิลลิเมตร/ปี (หมายเลข 26) ในขณะที่รอยเลื่อนลำปาง-เถิน มีอัตราเลื่อนตัวของรอยเลื่อน 1.00 มิลลิเมตร/ปี (หมายเลข 29) และพบว่าบางรอยเลื่อนมีการขุดร่องสำรวจธรณีวิทยาแผ่นดินไหวหลายพื้นที่ เช่น รอยเลื่อนแม่จันพบการขุดร่องสำรวจธรณีวิทยาแผ่นดินไหวและประเมินอัตราเลื่อนตัวของรอยเลื่อนจำนวน 4 พื้นที่ (หมายเลข 1-4; กรมทรัพยากรธรณี, 2552a) โดยมีอัตราเลื่อนตัวของรอยเลื่อนอยู่ในช่วง 0.29-0.16 มิลลิเมตร/ปี

ในกรณีของภาคตะวันตกของประเทศไทย พบจำนวน 13 พื้นที่ (หมายเลข 32-44 ในข) โดยมีอัตราเลื่อนตัวของรอยเลื่อนสูงที่สุดประมาณ 2.87 มิลลิเมตร/ปี จากรอยเลื่อนย่อยบ้านแก่งแคบ (หมายเลข 43; Nuttee และคณะ, 2005) และรอยเลื่อนย่อยบ้านกาเลียมีอัตราเลื่อนตัวของรอยเลื่อน 0.22 มิลลิเมตร/ปี (หมายเลข 32; ปัญญา จารุศิริ และคณะ, 2547)

นอกจากนี้จากการสำรวจธรณีวิทยาแผ่นดินไหวโดยกรมทรัพยากรธรณี (2550) และกรมชลประทาน (2552) พบการขุดร่องสำรวจธรณีวิทยาแผ่นดินไหวจำนวน 11 พื้นที่ (หมายเลข 45-55) ในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทย โดยในกรณีของรอยเลื่อนระนอง ผลการขุดร่องสำรวจธรณีวิทยาแผ่นดินไหวจำนวน 3 พื้นที่ (หมายเลข 45-47) แสดงอัตราเลื่อนตัวของรอยเลื่อนประมาณ 0.18-0.70 มิลลิเมตร/ปี ในขณะที่รอยเลื่อนคลองมะรุ่ยมีจำนวน 8 พื้นที่ (หมายเลข 48-55) แสดงอัตราเลื่อนตัวของรอยเลื่อนแตกต่างกันอยู่ในช่วง 0.01-0.50 มิลลิเมตร/ปี (กรมทรัพยากรธรณี, 2550; กรมชลประทาน, 2552)

แผนที่ภูมิภาคต่างๆของประเทศไทยตำแหน่งร่องสำรวจธรณีวิทยาแผ่นดินไหวที่มีการศึกษาในอดีต (ก) ภาคเหนือ (ข) ภาคตะวันตก และ (ค) ภาคใต้ของประเทศไทย (Pailoplee และ Charusiri, 2015b; 2016) ตัวเลขในกรอบสี่เหลี่ยม คือ ลำดับร่องสำรวจธรณีวิทยาแผ่นดินไหวดังแสดงใน

ตำแหน่งร่องสำรวจธรณีวิทยาแผ่นดินไหวตามแนวรอยเลื่อนต่างๆ ในประเทศไทย และผลการประเมินอัตราเลื่อนตัวของรอยเลื่อน (SR) (หน่วย มิลลิเมตร/ปี) (Pailoplee และ Charusiri, 2016)

ลำดับ ลองจิจูด ละติจูด พื้นที่ศึกษา SR (มม./ปี) อ้างอิง
1. 100.35 20.34 บ้านห้วยเย็น 0.29 กรมทรัพยากรธรณี (2552a)
2. 99.81 20.12 บ้านโป่งน้ำร้อน 0.29 กรมทรัพยากรธรณี (2552a)
3. 99.65 20.11 บ้านโป่งป่าแขม 0.29 กรมทรัพยากรธรณี (2552a)
4. 99.53 20.09 บ้านสุขฤทัย 0.16 กรมทรัพยากรธรณี (2552a)
5. 100.39 20.06 บ้านศรีล้านนา 0.29 กรมทรัพยากรธรณี (2552a)
6. 100.30 19.88 บ้านเต้า 0.07 กรมทรัพยากรธรณี (2552a)
7. 99.68 19.83 บ้านปางมุ้ง 0.16 กรมทรัพยากรธรณี (2552a)
8. 100.34 19.78 บ้านปางค่า 0.09 กรมทรัพยากรธรณี (2552a)
9. 99.62 19.75 บ้านท้ายสานยาว 0.11 กรมทรัพยากรธรณี (2552a)
10. 99.68 19.61 บ้านผาจ้อ 0.18 กรมทรัพยากรธรณี (2552a)
11. 99.15 19.42 บ้านหนองครก 0.50 กรมทรัพยากรธรณี (2552b)
12. 100.88 19.42 บ้านทุ่งอ้าง 0.60 กรมทรัพยากรธรณี (2554)
13. 98.98 19.33 บ้านจอมคีรี 0.10 กรมทรัพยากรธรณี (2552b)
14. 100.91 19.29 บ้านดู่ 0.60 กรมทรัพยากรธรณี (2554)
15. 99.66 19.28 บ้านป่าเหน่ง 0.34 กรมทรัพยากรธรณี (2552a)
16. 99.16 19.12 บ้านโหล่งขอด 0.10 กรมทรัพยากรธรณี (2552b)
17. 100.25 18.76 ห้วยแป๊ะ 1 0.8 กรมชลประทาน (2549)
18. 100.23 18.74 ห้วยแป๊ะ 2 0.33 กรมชลประทาน (2549)
19. 100.25 18.73 ห้วยแม่ปุ๊ 0.14 กรมชลประทาน (2549)
20. 100.25 18.71 ห้วยแม่ยม 1 0.37 กรมชลประทาน (2549)
21. 100.22 18.69 ห้วยแม่ยม 2 0.33 กรมชลประทาน (2549)
22. 99.21 18.50 บ้านท่าปลาดุก 1.00 กรมทรัพยากรธรณี (2552b)
23. 99.65 18.09 บ้านมาย 0.15 ปัญญา จารุศิริ และคณะ (2547)
24. 99.74 18.05 บ้านแม่ลอง 0.40 กรมทรัพยากรธรณี (2552b)
25. 100.05 18.05 ห้วยหนองบ่อ 0.60 กรมทรัพยากรธรณี (2552b)
26. 100.14 18.03 ห้วยแม่มาน 0.03 ปัญญา จารุศิริ และคณะ (2547)
27. 99.52 18.03 บ้านบอมหลวง 0.60 ปัญญา จารุศิริ และคณะ (2547)
28. 99.42 17.89 บ้านสมัย 0.83 ปัญญา จารุศิริ และคณะ (2547)
29. 99.41 17.87 บ้านอุมลอง 1.00 กรมทรัพยากรธรณี (2552b)
30. 99.40 17.73 บ้านปางงุ้น 0.40 กรมทรัพยากรธรณี (2552b)
31. 98.18 17.30 ห้วยแม่อุสุ 0.55 Saithong และคณะ (2005)
32. 98.42 15.25 บ้านซองกาเลีย 0.22 ปัญญา จารุศิริ และคณะ (2554)
33. 98.46 15.20 บ้านโรงหวาย 0.54 ปัญญา จารุศิริ และคณะ (2554)
34. 98.69 14.95 บ้านธิพุเย 1.94 กรมทรัพยากรธรณี (2551)
35. 99.41 14.74 บ้านเขาสน 0.25 ปัญญา จารุศิริ และคณะ (2554)
36. 98.71 14.72 บ้านองธิ 1.58 กรมทรัพยากรธรณี (2551)
37. 99.12 14.63 บ้านดงเสลา 1.30 กรมทรัพยากรธรณี (2551)
38. 99.13 14.58 บ้านโป่งหวาย 1.33 กรมทรัพยากรธรณี (2551)
39. 99.42 14.47 บ้านโป่งรี 0.56 ปัญญา จารุศิริ และคณะ (2554)
40. 99.18 14.35 บ้านแก่งแคบ 1 0.67 ปัญญา จารุศิริ และคณะ (2554)
41. 99.18 14.35 บ้านแก่งแคบ 2 1.42 กรมทรัพยากรธรณี (2551)
42. 99.18 14.35 บ้านแก่งแคบ 3 0.67 ปัญญา จารุศิริ และคณะ (2554)
43. 99.18 14.35 บ้านแก่งแคบ 4 2.87 Nuttee และคณะ (2005)
44. 99.10 14.13 บ้านพุโคลน 0.33 ปัญญา จารุศิริ และคณะ (2554)
45. 99.41 11.28 บ้านเนินกรวด 0.27 กรมทรัพยากรธรณี (2550)
46. 98.89 10.12 บ้านประชาเสรี 0.70 กรมทรัพยากรธรณี (2550)
47. 98.64 10.01 บางบอนใน 0.18 กรมทรัพยากรธรณี (2550)
48. 98.97 9.22 บ้านวิภาวดี 0.17 กรมทรัพยากรธรณี (2550)
49. 99.02 9.19 บ้านโพธิ์พนา 0.01 กรมชลประทาน (2552)
50. 98.82 8.87 บ้านแม่เหลียว 0.01 กรมชลประทาน (2552)
51. 98.73 8.86 บ้านสองพี่น้อง 0.01 กรมชลประทาน (2552)
52. 98.71 8.69 บ้านบางวอ 0.11 กรมทรัพยากรธรณี (2550)
53. 98.70 8.67 บ้านบางลึก 1 0.50 กรมทรัพยากรธรณี (2550)
54. 98.69 8.65 บ้านบางลึก 2 0.43 กรมทรัพยากรธรณี (2550)
55. 98.69 8.55 บ้านควนสบาย 0.50 กรมทรัพยากรธรณี (2550)

ดังที่อธิบายในข้างต้น ข้อมูลธรณีวิทยาแผ่นดินไหวมีความสำคัญในการประเมินภัยพิบัติแผ่นดินไหว (Andreou และคณะ, 2001) Pailoplee และ Charusiri (2016) จึงประเมิน PSHA โดยพิจารณาแหล่งกำเนิดแผ่นดินไหวแบบรอยเลื่อนจำนวน 55 รอยเลื่อน (Pailoplee และคณะ, 2009a) และประเมินพฤติกรรมการเกิดแผ่นดินไหวจากข้อมูลธรณีวิทยาแผ่นดินไหวร่วมกับฐานข้อมูลแผ่นดินไหวที่ตรวจวัดได้จากเครื่องมือตรวจวัดแผ่นดินไหว โดยในกรณีของตัวแปรด้านธรณีวิทยาแผ่นดินไหว (MCE และอัตราเลื่อนตัวของรอยเลื่อน) Pailoplee และ Charusiri (2016) ประมวลผลจากข้อมูลการขุดร่องสำรวจธรณีวิทยาแผ่นดินไหวทั้งหมด 55 ตำแหน่ง ดังแสดงใน และ

นอกจากนี้ในกรณีของพฤติกรรมการเกิดแผ่นดินไหวที่ไม่สัมพันธ์กับรอยเลื่อน Pailoplee และ Charusiri (2016) พิจารณาเป็นแหล่งกำเนิดแผ่นดินไหวแบบพื้นที่หรือเขตกำเนิดแผ่นดินไหว ซึ่งจากการศึกษางานวิจัยในอดีตพบการจำแนกและนำเสนอเขตกำเนิดแผ่นดินไหวในภูมิภาคอาเซียนแผ่นดินใหญ่ 3 รูปแบบ ที่แตกต่างกัน ได้แก่ 1) Nutalaya และคณะ (1985) 2) ปัญญา จารุศิริ และคณะ (2548) และ 3) Pailoplee และ Choowong (2013) ซึ่งเป็นเขตกำเนิดแผ่นดินไหวที่ถูกพัฒนามาจากเขตกำเนิดแผ่นดินไหวของ Nutalaya และคณะ (1985) และ ปัญญา จารุศิริ และคณะ (2548) ตามลำดับ ดังนั้น Pailoplee และ Charusiri (2016) จึงเลือกใช้เขตกำเนิดแผ่นดินไหวของ Pailoplee และ Choowong (2013) ซึ่งมีทั้งหมด 13 เขตกำเนิด (รูป 4ข) และประเมินพฤติกรรมการเกิดแผ่นดินไหวจากค่า a และค่า b ในแต่ละเขตกำเนิดแผ่นดินไหวที่วิเคราะห์โดย Pailoplee และ Choowong (2014)

3) แบบจำลองการลดทอนแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหว (strong-ground motion attenuation model) สืบเนื่องจากลักษณะทางธรณีวิทยาใต้พื้นโลกที่มีความซับซ้อนในรายละเอียด ทั้งชนิด รูปร่างและการวางตัวของหิน ทำให้คลื่นไหวสะเทือนที่เคลื่อนที่ผ่านตัวกลางต่างๆ มีการลดทอนแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ ซึ่งนักแผ่นดินไหวในปัจจุบันไม่สามารถวิเคราะห์ลักษณะการลดทอนแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหวดังกล่าวได้อย่างถูกต้องแม่นยำจากตัวแปรที่ซับซ้อนของชนิด รูปร่างและการวางตัวของหิน ดังที่อธิบายในข้างต้น ดังนั้นเมื่อเกิดแผ่นดินไหวในแต่ละเหตุการณ์ นักแผ่นดินไหวจึงประยุกต์ใช้ข้อมูลแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหวที่ตรวจวัดได้ซึ่งประกอบด้วยขนาดแผ่นดินไหว ระยะห่างระหว่างสถานีตรวจวัดแผ่นดินไหวและจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหว และแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหวที่ตรวจวัดได้ เพื่อปรับเทียบและสร้างแบบจำลองการลดทอนแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหว ซึ่งเป็นแบบจำลองแสดงลักษณะการลดทอนแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหวตามระยะห่างจากจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวของแผ่นดินไหวขนาดต่างๆ

จากการศึกษางานวิจัยในอดีต ประกอบกับพฤติกรรมการเกิดแผ่นดินไหวที่สัมพันธ์กับกระบวนการทางธรณีแปรสัณฐาน บ่งชี้ว่าการลดทอนแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหวมีความแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ ขึ้นอยู่กับลักษณะเฉพาะทางธรณีวิทยาใต้พื้นโลกที่คลื่นไหวสะเทือนเดินทางผ่านและสภาพแวดล้อมทางธรณีแปรสัณฐานของแหล่งกำเนิดแผ่นดินไหว ได้แก่ 1) แบบจำลองการลดทอนแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหวสำหรับแผ่นดินไหวที่เกิดในบริเวณเขตมุดตัวของเปลือกโลก เช่น Atkinson และ Boore (1997) Youngs และคณะ (1997) และ Crouse และคณะ (1991) เป็นต้น และ 2) แบบจำลองการลดทอนแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหวสำหรับแผ่นดินไหวที่เกิดจากรอยเลื่อนภายในแผ่นเปลือกโลก เช่น Esteva และ Villaverde (1973) Idriss (1993) Abrahamson และ Silva (1997) และ Sadigh และคณะ (1997) เป็นต้น

ดังที่อธิบายในข้างต้น แหล่งกำเนิดแผ่นดินไหวที่อาจส่งผลกระทบต่อประเทศไทยและพื้นที่ข้างเคียงประกอบด้วย 2 ประเภท คือ 1) เขตมุดตัวของเปลือกโลกสุมาตรา-อันดามัน และ 2) รอยเลื่อนต่างๆ ที่กระจายตัวอยู่ภายในแผ่นเปลือกโลก โดยในกรณีของเขตมุดตัวของเปลือกโลกสุมาตรา-อันดามัน Petersen และคณะ (2004) นำเสนอแบบจำลองการลดทอนแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหวซึ่งปรับปรุงมาจาก Youngs และคณะ (1997) อย่างไรก็ตามจากข้อมูลแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหวที่ตรวจวัดได้เพิ่มขึ้น Chintanapakdee และคณะ (2008) พบว่าแบบจำลองการลดทอนแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหวของ Crouse (1991) สอดคล้องมากที่สุดกับลักษณะการลดทอนแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในบริเวณเขตมุดตัวของเปลือกโลกสุมาตรา-อันดามัน

แบบจำลองการลดทอนแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหว Crouse (1991) Idriss (1993) (เส้นทึบสีดำ) ปรับเทียบกับข้อมูลแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหวที่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย (วงกลมและสามเหลี่ยม) (Chintanapakdee และคณะ, 2008)

ในกรณีของรอยเลื่อนที่กระจายตัวอยู่ภายในแผ่นเปลือกโลก ในอดีตมีการประยุกต์ใช้แบบจำลองการลดทอนแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหวแตกต่างกัน เช่น McGuire (1974) Esteva และ Villaverde (1973) Sadigh และคณะ (1997) และ Kobayashi และคณะ (2000) เป็นต้น ซึ่งจากการปรับเทียบกับข้อมูลแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหวที่ตรวจวัดได้ ดังที่อธิบายในข้างต้น Chintanapakdee และคณะ (2008) พบว่าแบบจำลองการลดทอนแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหวของ Idriss (1993) (รูป 1ข) มีความเหมาะสมมากที่สุด สอดคล้องกับผลการปรับเทียบของ Pailoplee และคณะ (2010c) โดยใช้ข้อมูลแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหวจากหน่วยงาน TMD

ดังนั้นในการประเมินภัยพิบัติแผ่นดินไหวในประเทศไทย Pailoplee และ Charusiri (2016) จึงประยุกต์ใช้แบบจำลองการลดทอนแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหวของ Crouse (1991) สำหรับแผ่นดินไหวที่เกิดในบริเวณเขตมุดตัวของเปลือกโลกสุมาตรา-อันดามัน และแบบจำลองการลดทอนแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหว ของ Idriss (1993) สำหรับแผ่นดินไหวที่เกิดตามแนวรอยเลื่อนต่างๆ ภายในแผ่นเปลือกโลก

หลังจากจัดเตรียมข้อมูลนำเข้าต่างๆ ทั้งแหล่งกำเนิดแผ่นดินไหวและแบบจำลองการลดทอนแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหว Pailoplee และ Charusiri (2016) แบ่งพื้นที่ประเทศไทยออกเป็นพื้นที่ย่อยขนาด 10×10 ตารางกิโลเมตร และประเมิน PSHA ในแต่ละพื้นที่ย่อย ในรูปแบบของกราฟภัยพิบัติแผ่นดินไหวดังแสดงตัวอย่างของจังหวัดต่างๆ ใน และนำเสนอผลการประเมิน PSHA ในรูปแบบของแผนที่ภัยพิบัติแผ่นดินไหว 2 รูปแบบ คือ 1) แผนที่แสดงการกระจายตัวเชิงพื้นที่ของแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหว และ 2) แผนที่แสดงการกระจายตัวเชิงพื้นที่ของโอกาส

4) แผนที่ภัยพิบัติแผ่นดินไหวแสดงการกระจายตัวเชิงพื้นที่ของแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหว (ground shaking map) จากกราฟภัยพิบัติแผ่นดินไหวที่ได้จากการประเมิน PSHA ในทุกพื้นที่ย่อยครอบคลุมพื้นที่ประเทศไทย Pailoplee และ Charusiri (2016) วิเคราะห์กราฟภัยพิบัติแผ่นดินไหวร่วมกับสมการ (7.4) และนำเสนอผลการประเมิน PSHA ในรูปแบบของแผนที่ภัยพิบัติแผ่นดินไหวแสดงการกระจายตัวเชิงพื้นที่ของค่า PGA (หน่วย g) ที่มีโอกาส 2% POE และ 10% POE ในอีก 50 ปี ( และ) โดยผลการประเมินบ่งชี้ว่าภาคตะวันตก ภาคตะวันตกเฉียงเหนือและภาคใต้ของประเทศไทยมีภัยพิบัติแผ่นดินไหวสูงที่สุด ในขณะที่ภาคกลาง ภาคตะวันออกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ไม่แสดงภัยพิบัติแผ่นดินไหว

แผนที่ประเทศไทยแสดงการกระจายตัวเชิงพื้นที่ของค่า PGA (หน่วย g) ที่มีโอกาส (ก) 2% POE (ข) 10% POE ในอีก 50 ปี (Pailoplee และ Charusiri, 2016)

หากพิจารณาที่โอกาส 2% POE ในอีก 50 ปี พบว่ามีภัยพิบัติแผ่นดินไหวสูง (0.36-0.40g) ในบริเวณภาคตะวันตกของประเทศไทยรวมทั้งจังหวัดกาญจนบุรี ในขณะที่พื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทยซึ่งมีรอยเลื่อนสำคัญ 2 รอยเลื่อน คือ ในบริเวณใกล้กับรอยเลื่อนระนองแสดงค่า PGA = 0.30g

ในขณะที่พื้นที่ใกล้เคียงรอยเลื่อนคลองมะรุ่ยพบค่า PGA = 0.35g ตามลำดับ สอดคล้องกับ Sutiwanich และคณะ (2012) ซึ่งประเมิน PSHA เฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทยที่แสดงค่า PGA = 0.20-0.30g และ 0.30-0.35g ในพื้นที่รอยเลื่อนระนองและรอยเลื่อนคลองมะรุ่ย ตามลำดับ ส่วนในกรณีของพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทยพบว่ามีค่า PGA อยู่ในช่วง 0.10-0.20g ซึ่งค่า PGA ดังกล่าว ครอบคลุมหลายจังหวัด เช่น จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย น่านและจังหวัดตาก เป็นต้น

นอกจากนี้จากการประเมิน PSHA ในพื้นที่ 19 เขื่อน ที่ตั้งอยู่ตามแม่น้ำโขง Pailoplee (2014e) พบว่าในกรณีของโอกาส 2% POE และ 10% POE ในอีก 50 ปี เขื่อนต่างๆ มีโอกาสได้รับค่า PGA อยู่ในช่วง 0.66-0.68g และ 0.39-0.42g ตามลำดับ โดยเขื่อนที่มีภัยพิบัติแผ่นดินไหวสูงที่สุด ได้แก่ เขื่อนจิงหง (Jinghong) กันลันบา (Ganlanba) และเขื่อนเมืองสอง (Mengsong) ในประเทศจีน รวมทั้งเขื่อนปากเบงในประเทศลาว ในขณะที่เขื่อนที่มีความปลอดภัยที่สุดจากภัยพิบัติแผ่นดินไหว คือเขื่อนส่วนใหญ่ที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศลาว ได้แก่ เขื่อนบ้านกุ่ม ลาดสัว ดอนสะโฮง สตรึงเตรงและเขื่อนสมโบร์ เป็นต้น

ผลการประเมิน PSHA (หน่วย g และ %) ที่ตำแหน่งบางจังหวัดของประเทศไทย (Pailoplee และ Charusiri, 2016)

ลำดับ จังหวัด 2% POE 50 ปี 10% POE 50 ปี MMI IV 50 ปี MMI V 50 ปี MMI VI 50 ปี MMI VII 50 ปี
P1 กรุงเทพมหานคร 0.03 0.02 7 0 0 0
P2 เชียงใหม่ 0.10 0.05 35 16 6 1
P3 เชียงราย 0.21 0.11 72 50 26 9
P4 กาญจนบุรี 0.36 0.22 99 93 72 37
P5 ลำปาง 0.16 0.09 59 37 16 5
P6 แม่ฮ่องสอน 0.29 0.18 92 76 50 22
P7 น่าน 0.16 0.06 35 18 9 3
P8 ภูเก็ต 0.05 0.03 25 6 1 0
P9 ระนอง 0.29 0.17 91 77 51 22
P10 ตาก 0.26 0.16 98 87 57 21

หมายเหตุ: 1) POE คือ โอกาสที่แรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหว ≥ PGA ดังกล่าว และ 2) MMI คือ ความรุนแรงแผ่นดินไหวตามมาตราเมอร์คัลลีแปลง

อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาเปรียบเทียบกันระหว่างผลการประเมิน DSHA และ PSHA ในพื้นที่เขื่อนที่ตั้งอยู่ตามแม่น้ำโขง พบว่าภัยพิบัติจากการประเมิน PSHA สูงกว่าการประเมิน DSHA ซึ่งไม่สอดคล้องในทางทฤษฏีของการประเมินภัยพิบัติแผ่นดินไหว (Kramer, 1996) ดังที่อธิบายในข้างต้น โดย Pailoplee (2014e) นำเสนอว่าอาจมีสาเหตุจากการประเมิน DSHA พิจารณาค่า PGA จากค่าเฉลี่ยหรือค่ากลางของแบบจำลองการลดทอนแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหว ในขณะที่การประเมิน PSHA พิจารณาส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานจากความไม่แน่นอนของการลดทอนแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหวในการประเมินค่า PGA (Pailoplee, 2014e)

5) แผนที่ภัยพิบัติแผ่นดินไหวแสดงการกระจายตัวเชิงพื้นที่ของโอกาส (Probability map) ถึงแม้ว่าแผนที่แสดงการกระจายตัวเชิงพื้นที่ของแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหว (หน่วย g) ดังที่อธิบายในข้างต้น จะแสดงผลอย่างชัดเจนในเชิงตัวเลขและมีประโยชน์อย่างมากต่องานด้านวิศวกรรม แต่ในทางปฏิบัติ แผนที่ดังกล่าวยากต่อการทำความเข้าใจถึงระดับภัยพิบัติแผ่นดินไหวโดยเฉพาะการใช้แผนที่สำหรับสื่อสารกับประชาชนทั่วไป Pailoplee และ Charusiri (2016) จึงวิเคราะห์กราฟภัยพิบัติแผ่นดินไหวร่วมกับสมการ (7.5) และประเมินโอกาส (หน่วย %) ที่ความรุนแรงแผ่นดินไหว ≥ MMI ที่พิจารณา ในอีก 50 ปี (ดูตาราง 1.1 ประกอบ) โดยปรับเทียบระดับ MMI ที่พิจารณาเป็นค่า PGA จากสมการความสัมพันธ์ระหว่างระดับ MMI และค่า PGA สำหรับประเทศพม่าและพื้นที่ข้างเคียง ซึ่งนำเสนอโดย Pailoplee (2012) ดังแสดงในสมการ (7.6)

กราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่างระดับ MMI และค่า PGA ประเมินจากแผนที่ความไหวสะเทือนเท่า ที่เคยมีการศึกษาในอดีตในประเทศพม่าและพื้นที่ข้างเคียง (Pailoplee, 2012)
สมการ (7.6)

 ในกรณีของการประเมินโอกาส (หน่วย %) ที่ความรุนแรงแผ่นดินไหว ≥ MMI V ในอีก 50 ปี ในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งหมายถึงระดับที่เกือบทุกคนรู้สึก ถ้วยชามตกแตก ของในบ้านแกว่ง หน้าต่างพัง ของที่ตั้งไม่มั่นคงล้ม นาฬิกาลูกตุ้มหยุดเดิน Pailoplee และ Charusiri (2016) ปรับเทียบความรุนแรงแผ่นดินไหวระดับ V เป็นค่า PGA = 10((0.25×5)-3.10) = 0.01g หลังจากนั้นปรับเทียบค่า PGA ดังกล่าวกับกราฟภัยพิบัติแผ่นดินไหว พบว่ามีโอกาสของกราฟภัยพิบัติแผ่นดินไหว (PHC) = 0.07 ดังนั้นจากสมการ (7.5) โอกาสที่จังหวัดกาญจนบุรีจะได้รับความรุนแรงแผ่นดินไหว ≥ MMI V (0.01g) ในอีก 50 ปี (P) = (1-e-(0.07×50))x100 = 96% เป็นต้น

จากผลการประเมิน PSHA ในทุกพื้นที่ย่อยขนาด 10×10 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ประเทศไทย Pailoplee และ Charusiri (2016) นำเสนอแผนที่ภัยพิบัติแผ่นดินไหวแสดงการกระจายตัวเชิงพื้นที่ของโอกาส (หน่วย %) ที่ความรุนแรงแผ่นดินไหว ≥ MMI IV-VII ในอีก 50 ปี และผลการประเมินเฉพาะบางจังหวัดประเทศไทยแสดงใน โดยผลการประเมินบ่งชี้ว่าภาคตะวันตก ภาคตะวันตกเฉียงเหนือรวมทั้งภาคใต้ของประเทศไทยเป็นพื้นที่ภัยพิบัติแผ่นดินไหวสูง โดยมีโอกาส 60-80% ที่ได้รับความรุนแรงแผ่นดินไหว ≥ MMI VI ในอีก 50 ปี ซึ่งหมายถึงระดับที่รู้สึกทุกคน บางคนตกใจวิ่งออกจากบ้าน ของหนักในบ้านบางชิ้นเคลื่อนไหว ปูนฉาบผนังร่วงหล่นเล็กน้อย และมีโอกาส < 30% ที่ความรุนแรงแผ่นดินไหว ≥ MMI VI จะส่งผลกระทบต่อภาคเหนือของประเทศไทย ในขณะที่ภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย พบว่าไม่มีโอกาสได้รับความรุนแรงแผ่นดินไหว ≥ MMI IV ซึ่งหมายถึงระดับที่คนส่วนใหญ่รู้สึกได้ ถ้วยชามเคลื่อน หน้าต่างประตูสั่น ผนังมีเสียงลั่น รถยนต์ที่จอดอยู่สั่นไหวชัดเจน

ในกรณีของจังหวัดต่างๆ พบว่าจังหวัดกาญจนบุรีและจังหวัดตาก มีโอกาสได้รับความรุนแรงแผ่นดินไหวสูงที่สุด โดยมีโอกาสประมาณ 99-37% ที่จะได้รับความรุนแรงแผ่นดินไหว ≥ MMI IV-VII ในขณะที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนและจังหวัดระนองมีโอกาสประมาณ 22% ที่จะได้รับความรุนแรงแผ่นดินไหว ≥ MMI VII ในอีก 50 ปี ซึ่งหมายถึงระดับที่ซึ่งหมายถึงระดับที่คนส่วนใหญ่รู้สึกได้ ถ้วยชามเคลื่อน หน้าต่างประตูสั่น ผนังมีเสียงลั่น อย่างไรก็ตามในกรณีของกรุงเทพมหานครซึ่งตั้งอยู่ใกล้เคียงกับรอยเลื่อนจำนวนมากในภาคตะวันตกของประเทศไทย ผลการประเมินพบว่ามีโอกาส 7% ที่จะได้รับความรุนแรงแผ่นดินไหว ≥ MMI IV ในอีก 50 ปี

แผนที่ประเทศไทยแสดงการกระจายตัวเชิงพื้นที่ของโอกาส (หน่วย %) ในอีก 50 ปี ที่ความรุนแรงแผ่นดินไหว ≥ MMI (ก) IV (ข) V (ค) VI และ (ง) VII ตามมาตราเมอร์คัลลีแปลง (Pailoplee และ Charusiri, 2016)

Share: