
เมฆ (Clouds) เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ทำให้มนุษย์หลงใหลมาเป็นเวลานาน ทั้งในด้านแรงบันดาลใจ ความมหัศจรรย์ และการศึกษาเชิงวิทยาศาสตร์ นอกเหนือจากเมฆทั่วไปที่เราคุ้นเคย เช่น เมฆคิวมูลัส (Cumulus) ที่ฟูฟ่อง หรือ เมฆเซอรัส (Cirrus) ที่บางเบา ยังมีเมฆอีกหลากหลายรูปแบบ ที่ดูแปลกตาและน่าทึ่งซึ่งเกิดจากสภาพแวดล้อมในชั้นบรรยากาศที่ไม่ธรรมดา
บทความนี้ ผู้เขียนอยากพาผู้อ่านไปทำความรู้จักเมฆหน้าตาแปลก ๆ ที่เคยปรากฏขึ้นในท้องฟ้า เช่น เมฆเลนทิคิวลาร์ เมฆมามาตัส เมฆอัสเปอริตัส และเมฆอื่น ๆ ที่มีความเฉพาะตัว ทั้งทางด้านกระบวนการเกิด และความสำคัญทางวิทยาศาสตร์ ของเมฆหน้าตาประหลาดเหล่านี้ พร้อมแล้ว เราไปไล่ชมไล่ดูกันครับ
1) เมฆจานบิน
เมฆเลนทิคิวลาร์ (Lenticular Clouds) มักถูกเข้าใจผิดจากประชาชนทั่วไป ว่าเป็นจานบิน หรือ UFO เนื่องจากรูปร่างที่เรียบและเหมือนเลนส์ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่ออากาศที่เสถียรและมีความชื้นสูงไหลผ่านภูเขาหรือสิ่งกีดขวาง แล้วก่อตัวเป็นเมฆรูปร่างคล้ายเลนส์ ที่ค้างอยู่ในตำแหน่งเดิม
ลักษณะเด่น มีรูปร่างเหมือนจานหรือเลนส์ที่เรียบเนียน มักปรากฏเป็นชั้น ๆ ซ้อนกันคล้ายแพนเค้ก อยู่คงที่แม้จะมีลมแรง ทำให้ดูเหมือนลอยนิ่งอยู่บนท้องฟ้า
กระบวนการเกิด เกิดจากกระแสลมที่ถูกบังคับให้ยกตัวขึ้นเหนือภูเขา เมื่ออากาศยกตัวขึ้น มันจะเย็นลงและควบแน่นจนเกิดเป็นเมฆ เมื่ออากาศไหลลงและอุ่นขึ้น เมฆจะระเหย ทำให้ดูเหมือนเมฆไม่เคลื่อนที่
ตัวอย่างที่โดดเด่น ภูเขาชาสตา ในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เป็นจุดที่พบเมฆเลนทิคิวลาร์บ่อยครั้ง รูปร่างที่ดูเหนือจริงของเมฆชนิดนี้เคยถูกเชื่อมโยงกับเรื่องเล่าเกี่ยวกับ UFO

2) เมฆถุงน้ำ
เมฆมามาตัส (Mammatus Clouds) หรือ เมฆถุงน้ำ เป็นเมฆที่มีลักษณะเป็นถุงนูนลงมาจากฐานของเมฆ มักพบในบริเวณที่เกิด พายุฝนฟ้าคะนอง (thunder storm) ที่รุนแรง เป็นสัญญาณของบรรยากาศที่ปั่นป่วน
ลักษณะเด่น มีรูปร่างเป็นถุงหรือกระเปาะที่ห้อยลงมาจากฐานเมฆ มักมีสีสันสดใสเมื่อเกิดในช่วงพระอาทิตย์ขึ้นหรือตกดิน มักปรากฏร่วมกับ เมฆคิวมูโลนิมบัส (Cumulonimbus) หรือ เมฆอัลโตสเตรตัส (Altostratus)
กระบวนการเกิด เกิดจากกระแสอากาศเย็นที่จมตัวลงในอากาศที่อุ่นกว่า กระแสลมที่พัดลงนี้มีความชื้นสูง ทำให้เกิดรูปร่างที่นูนลง
ความสำคัญ เป็นสัญญาณของสภาพอากาศที่ไม่เสถียร อาจบ่งบอกถึงพายุฝนฟ้าคะนองที่รุนแรง เช่น พายุลูกเห็บหรือพายุทอร์นาโด

3) เมฆลูกคลื่น
เมฆอัสเปอริตัส (Asperitas Clouds) หรือ เมฆลูกคลื่น เป็นเมฆที่มีลักษณะเหมือนคลื่นทะเลที่ปั่นป่วน เป็นหนึ่งในเมฆชนิดใหม่ ที่เพิ่งถูกบรรจุลงใน International Cloud Atlas ในปี ค.ศ. 2017
ลักษณะเด่น มีลักษณะเป็นคลื่นที่ปั่นป่วนและไม่เรียบ ดูน่ากลัวและมืดคล้ายทะเลที่มีพายุ
กระบวนการเกิด คาดว่าน่าจะเกิดจากการปะทะกันของกระแสลมชั้นต่าง ๆ ในบรรยากาศ อาจเกิดขึ้นหลังจากเกิดพายุหรือสภาพอากาศแปรปรวน
อิทธิพลทางวัฒนธรรม เมฆชนิดนี้ดึงดูดความสนใจจากช่างภาพและนักดูเมฆทั่วโลก ชื่อ “Asperitas” มาจากภาษาละติน แปลว่า “ความหยาบกร้าน” สื่อถึงพื้นผิวของเมฆอัสเปอริตัส

เพิ่มเติม : เมฆหลุม (Fallstreak Holes) : ปรากฏการณ์ประหลาดบนท้องฟ้า
4) เมฆเรืองแสง
เมฆน็อคติลูเซนต์ (Noctilucent Clouds) หรือ เมฆเรืองแสงในยามค่ำคืน เป็นเมฆที่อยู่สูงที่สุดในชั้นบรรยากาศโลก โดยเกิดในชั้น มีโซสเฟียร์ (mesosphere) ที่ระดับความสูง 76-85 กิโลเมตร
ลักษณะเด่น มีลักษณะบางเบา คล้ายกับริ้วไหมที่เรืองแสงสีเงินหรือฟ้า มองเห็นได้เฉพาะในช่วงพลบค่ำหรือรุ่งเช้า
กระบวนการเกิด เกิดจากไอน้ำที่กลั่นตัวรอบอนุภาคฝุ่น เช่น เศษอุกกาบาตหรือเถ้าภูเขาไฟ เมื่อดวงอาทิตย์อยู่ใต้ขอบฟ้า แสงสะท้อนจากเมฆเหล่านี้จะทำให้เกิดการเรืองแสงขึ้น
ความสำคัญ เป็นตัวชี้วัดการเปลี่ยนแปลงในชั้นบรรยากาศ เช่น อุณหภูมิและปริมาณไอน้ำ การพบเห็นบ่อยครั้งขึ้น อาจเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศ (climate change)

5) เมฆเคลวิน-เฮล์มโฮลทซ์
เมฆเคลวิน-เฮล์มโฮลทซ์ (Kelvin-Helmholtz Clouds) เป็นเมฆที่มีลักษณะคล้ายคลื่นทะเลที่กำลังแตกตัว เกิดจากการปะทะกันของกระแสลมที่มีความเร็วต่างกัน
ลักษณะเด่น มีรูปร่างเป็นคลื่นที่มีส่วนยอดและส่วนล่างที่ชัดเจน ปรากฏในช่วงเวลาสั้น ๆ และหายไปอย่างรวดเร็ว
กระบวนการเกิด เกิดจากการไหลของกระแสลมชั้นบนที่เร็วกว่า ไหลผ่านชั้นล่างที่ช้ากว่า ความแตกต่างของความเร็วทำให้เกิดการบิดตัวของชั้นอากาศเป็นคลื่น
การเกิด พบได้ในวันที่มีลมแรง โดยมักปรากฏร่วมกับ เมฆสเตรโตคิวมูลัส (Stratocumulus) หรือเมฆเซอรัส (Cirrus) เป็นตัวอย่างตามธรรมชาติของหลักการความไม่เสถียรของเคลวิน-เฮล์มโฮลทซ์ในวิชาของไหล

6) เมฆมุก
เมฆโพลาร์สตราโตสเฟียร์ (Polar Stratospheric Clouds) หรือ เมฆมุก เกิดขึ้นในชั้นสตราโตสเฟียร์ที่มีอุณหภูมิต่ำมาก ทำให้เกิดแสงสะท้อนเป็นสีรุ้ง
ลักษณะเด่น มีสีสันเป็นรุ้งหลากสี เช่น ชมพู เขียว และฟ้า เกิดที่ระดับความสูง 15-25 กิโลเมตร
กระบวนการเกิด มักเกิดที่อุณหภูมิต่ำกว่า -78°C และประกอบด้วยน้ำ กรดไนตริก และกรดซัลฟูริก เกิดเฉพาะในฤดูหนาวบริเวณขั้วโลก
ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทำลายชั้นโอโซน เนื่องจากช่วยกระตุ้นปฏิกิริยาเคมีที่ปล่อยคลอรีนและโบรมีนออกมา

โดยสรุป เมฆแปลก ๆ เหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงภาพที่สวยงามในท้องฟ้า แต่ยังสะท้อนถึงกระบวนการที่ซับซ้อนในชั้นบรรยากาศโลก การศึกษาเมฆเหล่านี้ช่วยเพิ่มความเข้าใจเกี่ยวกับสภาพอากาศ ภูมิอากาศ และการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในโลก
. . .
บทความล่าสุด : www.mitrearth.org
เยี่ยมชม facebook : มิตรเอิร์ธ – mitrearth