เมฆ (Clouds) เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ทำให้มนุษย์หลงใหลมาเป็นเวลานาน ทั้งในด้านแรงบันดาลใจ ความมหัศจรรย์ และการศึกษาเชิงวิทยาศาสตร์ นอกเหนือจากเมฆทั่วไปที่เราคุ้นเคย เช่น เมฆคิวมูลัส (Cumulus) ที่ฟูฟ่อง หรือ เมฆเซอรัส (Cirrus) ที่บางเบา ยังมีเมฆอีกหลากหลายรูปแบบ ที่ดูแปลกตาและน่าทึ่งซึ่งเกิดจากสภาพแวดล้อมในชั้นบรรยากาศที่ไม่ธรรมดา

บทความนี้ ผู้เขียนอยากพาผู้อ่านไปทำความรู้จักเมฆหน้าตาแปลก ๆ ที่เคยปรากฏขึ้นในท้องฟ้า เช่น เมฆเลนทิคิวลาร์ เมฆมามาตัส เมฆอัสเปอริตัส และเมฆอื่น ๆ ที่มีความเฉพาะตัว ทั้งทางด้านกระบวนการเกิด และความสำคัญทางวิทยาศาสตร์ ของเมฆหน้าตาประหลาดเหล่านี้ พร้อมแล้ว เราไปไล่ชมไล่ดูกันครับ

1) เมฆจานบิน

เมฆเลนทิคิวลาร์ (Lenticular Clouds) มักถูกเข้าใจผิดจากประชาชนทั่วไป ว่าเป็นจานบิน หรือ UFO เนื่องจากรูปร่างที่เรียบและเหมือนเลนส์ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่ออากาศที่เสถียรและมีความชื้นสูงไหลผ่านภูเขาหรือสิ่งกีดขวาง แล้วก่อตัวเป็นเมฆรูปร่างคล้ายเลนส์ ที่ค้างอยู่ในตำแหน่งเดิม

ลักษณะเด่น มีรูปร่างเหมือนจานหรือเลนส์ที่เรียบเนียน มักปรากฏเป็นชั้น ๆ ซ้อนกันคล้ายแพนเค้ก อยู่คงที่แม้จะมีลมแรง ทำให้ดูเหมือนลอยนิ่งอยู่บนท้องฟ้า

กระบวนการเกิด เกิดจากกระแสลมที่ถูกบังคับให้ยกตัวขึ้นเหนือภูเขา เมื่ออากาศยกตัวขึ้น มันจะเย็นลงและควบแน่นจนเกิดเป็นเมฆ เมื่ออากาศไหลลงและอุ่นขึ้น เมฆจะระเหย ทำให้ดูเหมือนเมฆไม่เคลื่อนที่

ตัวอย่างที่โดดเด่น ภูเขาชาสตา ในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เป็นจุดที่พบเมฆเลนทิคิวลาร์บ่อยครั้ง รูปร่างที่ดูเหนือจริงของเมฆชนิดนี้เคยถูกเชื่อมโยงกับเรื่องเล่าเกี่ยวกับ UFO

 เมฆเลนทิคิวลาร์ (Lenticular Clouds) เป็นชั้น ๆ ซ้อนกันคล้ายแพนเค้ก ลอยอยู่คงที่เหนือยอดเขาลูกโดด (ที่มา : https://opensnow.com)

2) เมฆถุงน้ำ

เมฆมามาตัส (Mammatus Clouds) หรือ เมฆถุงน้ำ เป็นเมฆที่มีลักษณะเป็นถุงนูนลงมาจากฐานของเมฆ มักพบในบริเวณที่เกิด พายุฝนฟ้าคะนอง (thunder storm) ที่รุนแรง เป็นสัญญาณของบรรยากาศที่ปั่นป่วน

ลักษณะเด่น มีรูปร่างเป็นถุงหรือกระเปาะที่ห้อยลงมาจากฐานเมฆ มักมีสีสันสดใสเมื่อเกิดในช่วงพระอาทิตย์ขึ้นหรือตกดิน มักปรากฏร่วมกับ เมฆคิวมูโลนิมบัส (Cumulonimbus) หรือ เมฆอัลโตสเตรตัส (Altostratus)

กระบวนการเกิด เกิดจากกระแสอากาศเย็นที่จมตัวลงในอากาศที่อุ่นกว่า กระแสลมที่พัดลงนี้มีความชื้นสูง ทำให้เกิดรูปร่างที่นูนลง

ความสำคัญ เป็นสัญญาณของสภาพอากาศที่ไม่เสถียร อาจบ่งบอกถึงพายุฝนฟ้าคะนองที่รุนแรง เช่น พายุลูกเห็บหรือพายุทอร์นาโด

ค.ศ. 2012 Michael F. Johnston ถ่ายภาพ เมฆมามาตัส (Mammatus Clouds) เหนือเมืองรีไจนา รัฐซัสแคตเชวัน ประเทศแคนาดา (ที่มา : https://kottke.org)

3) เมฆลูกคลื่น

เมฆอัสเปอริตัส (Asperitas Clouds) หรือ เมฆลูกคลื่น เป็นเมฆที่มีลักษณะเหมือนคลื่นทะเลที่ปั่นป่วน เป็นหนึ่งในเมฆชนิดใหม่ ที่เพิ่งถูกบรรจุลงใน International Cloud Atlas ในปี ค.ศ. 2017

ลักษณะเด่น มีลักษณะเป็นคลื่นที่ปั่นป่วนและไม่เรียบ ดูน่ากลัวและมืดคล้ายทะเลที่มีพายุ

กระบวนการเกิด คาดว่าน่าจะเกิดจากการปะทะกันของกระแสลมชั้นต่าง ๆ ในบรรยากาศ อาจเกิดขึ้นหลังจากเกิดพายุหรือสภาพอากาศแปรปรวน

อิทธิพลทางวัฒนธรรม เมฆชนิดนี้ดึงดูดความสนใจจากช่างภาพและนักดูเมฆทั่วโลก ชื่อ “Asperitas” มาจากภาษาละติน แปลว่า “ความหยาบกร้าน” สื่อถึงพื้นผิวของเมฆอัสเปอริตัส

เมฆอัสเปอริตัส (Asperitas Clouds) ในเมือง Gorham รัฐนิวแฮมป์เชียร์ สหรัฐอเมริกา (ที่มา : www.reddit.com)

เพิ่มเติม : เมฆหลุม (Fallstreak Holes) : ปรากฏการณ์ประหลาดบนท้องฟ้า

4) เมฆเรืองแสง

เมฆน็อคติลูเซนต์ (Noctilucent Clouds) หรือ เมฆเรืองแสงในยามค่ำคืน เป็นเมฆที่อยู่สูงที่สุดในชั้นบรรยากาศโลก โดยเกิดในชั้น มีโซสเฟียร์ (mesosphere) ที่ระดับความสูง 76-85 กิโลเมตร

ลักษณะเด่น มีลักษณะบางเบา คล้ายกับริ้วไหมที่เรืองแสงสีเงินหรือฟ้า มองเห็นได้เฉพาะในช่วงพลบค่ำหรือรุ่งเช้า

กระบวนการเกิด เกิดจากไอน้ำที่กลั่นตัวรอบอนุภาคฝุ่น เช่น เศษอุกกาบาตหรือเถ้าภูเขาไฟ เมื่อดวงอาทิตย์อยู่ใต้ขอบฟ้า แสงสะท้อนจากเมฆเหล่านี้จะทำให้เกิดการเรืองแสงขึ้น

ความสำคัญ เป็นตัวชี้วัดการเปลี่ยนแปลงในชั้นบรรยากาศ เช่น อุณหภูมิและปริมาณไอน้ำ การพบเห็นบ่อยครั้งขึ้น อาจเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศ (climate change)

เมฆน็อคติลูเซนต์ (Noctilucent Clouds) เมฆเรืองแสง ที่เกิดขึ้นเมื่อไอน้ำแข็งตัวบนอนุภาคฝุ่นที่อุกกาบาตที่ลอยอยู่ในชั้นบรรยากาศสูงทิ้งไว้ (ที่มา : www.space.com)

5) เมฆเคลวิน-เฮล์มโฮลทซ์

เมฆเคลวิน-เฮล์มโฮลทซ์ (Kelvin-Helmholtz Clouds) เป็นเมฆที่มีลักษณะคล้ายคลื่นทะเลที่กำลังแตกตัว เกิดจากการปะทะกันของกระแสลมที่มีความเร็วต่างกัน

ลักษณะเด่น มีรูปร่างเป็นคลื่นที่มีส่วนยอดและส่วนล่างที่ชัดเจน ปรากฏในช่วงเวลาสั้น ๆ และหายไปอย่างรวดเร็ว

กระบวนการเกิด เกิดจากการไหลของกระแสลมชั้นบนที่เร็วกว่า ไหลผ่านชั้นล่างที่ช้ากว่า ความแตกต่างของความเร็วทำให้เกิดการบิดตัวของชั้นอากาศเป็นคลื่น

การเกิด พบได้ในวันที่มีลมแรง โดยมักปรากฏร่วมกับ เมฆสเตรโตคิวมูลัส (Stratocumulus) หรือเมฆเซอรัส (Cirrus) เป็นตัวอย่างตามธรรมชาติของหลักการความไม่เสถียรของเคลวิน-เฮล์มโฮลทซ์ในวิชาของไหล

รูปร่างหน้าตาของ เมฆเคลวิน-เฮล์มโฮลทซ์ (Kelvin-Helmholtz Clouds)

6) เมฆมุก

เมฆโพลาร์สตราโตสเฟียร์ (Polar Stratospheric Clouds) หรือ เมฆมุก เกิดขึ้นในชั้นสตราโตสเฟียร์ที่มีอุณหภูมิต่ำมาก ทำให้เกิดแสงสะท้อนเป็นสีรุ้ง

ลักษณะเด่น มีสีสันเป็นรุ้งหลากสี เช่น ชมพู เขียว และฟ้า เกิดที่ระดับความสูง 15-25 กิโลเมตร

กระบวนการเกิด มักเกิดที่อุณหภูมิต่ำกว่า -78°C และประกอบด้วยน้ำ กรดไนตริก และกรดซัลฟูริก เกิดเฉพาะในฤดูหนาวบริเวณขั้วโลก

ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทำลายชั้นโอโซน เนื่องจากช่วยกระตุ้นปฏิกิริยาเคมีที่ปล่อยคลอรีนและโบรมีนออกมา

 เมฆโพลาร์สตราโตสเฟียร์ (Polar Stratospheric Clouds) (ที่มา : https://aifreeimages.com)

โดยสรุป เมฆแปลก ๆ เหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงภาพที่สวยงามในท้องฟ้า แต่ยังสะท้อนถึงกระบวนการที่ซับซ้อนในชั้นบรรยากาศโลก การศึกษาเมฆเหล่านี้ช่วยเพิ่มความเข้าใจเกี่ยวกับสภาพอากาศ ภูมิอากาศ และการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในโลก

. . .
บทความล่าสุด : www.mitrearth.org
เยี่ยมชม facebook : มิตรเอิร์ธ – mitrearth

Share: