![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2019/07/3-7-0-750x375.jpg)
จากการศึกษาวิทยาศาสตร์โลกในปัจจุบัน ถึงแม้จะมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น แต่ก็เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าโลกของเรามี สนามแม่เหล็ก (magnetic field) ครอบคลุมอยู่ โดยในปัจจุบัน เส้นแรงแม่เหล็กโลกพุ่งออกจาก ขั้วแม่เหล็กโลกใต้ (south magnetic pole) แล้ววิ่งโค้งข้ามหัวพวกเราไปมุดตัวอีกทีที่ ขั้วแม่เหล็กโลกเหนือ (north magnetic pole)
และจากหลักฐานทางธรณีวิทยาต่างๆ นักธรณีวิทยาเชื่อว่าสนามแม่เหล็กโลกเกิดขึ้นได้เพราะการหมุนวนของวัสดุภายในโลกที่มีแร่เหล็กจำนวนมากและอยู่ในสถานะของเหลว ตรงบริเวณแก่นโลกชั้นนอก (Jacobson, 1975) ซึ่งจากการหมุนวนอย่างช้าๆ ไปในทิศทางที่เรียกได้ว่าสุ่ม ทำให้ตลอดช่วงอายุ 4600 ล้านปี ที่โลกเกิดขึ้นมา เส้นแรงแม่เหล็กโลกมีการสลับขั้ว วิ่งจากใต้ไปเหนือ หรือที่เรียกว่า ขั้วแม่เหล็กปกติ (normal polarity) และกลับทิศวิ่งจาก เหนือไปใต้ หรือ ขั้วแม่เหล็กย้อนกลับ (reverse polarity) อยู่ตลอดเวลา
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2019/07/1-3-1-1.jpg)
นอกจากนี้นักธรณีวิทยายังพบว่าหินต่างๆ ที่อยู่บนพื้นโลกสามารถเก็บบันทึกหรือสต๊าฟ สัญญาณของสนามแม่เหล็กโลกในขณะที่หินนั้นเกิดขึ้นได้ (แมกมาเย็นตัวกลายเป็นหิน) ซึ่งนอกจากหินจะบันทึกสภาวะความเป็น ขั้วแม่เหล็กปกติ หรือ ขั้วแม่เหล็กย้อนกลับ ที่มีประโยชน์อย่างมากในการศึกษาด้านธรณีแปรสัณฐาน และการกำหนดอายุสมบูรณ์ทางวิทยาศาสตร์ นอกจากนี้หินต่างๆ ยังบันทึกในรูปแบบของ 1) แนวเส้นแรงแม่เหล็กโลกที่เอียงเททำมุมกับพื้นผิวโลก ในพื้นที่ต่างๆ ในช่วงเวลานั้นด้วย หรือที่เรียกว่า มุมเอียง (inclination) และ 2) มุมเบี่ยง (declination) ซึ่งหมายถึง มุมที่แนวเส้นแรงแม่เหล็กนั้นเบี่ยงเบนไปจากทิศเหนือ
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2019/10/15-8-1-1024x476.jpg)
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2021/02/3-7-3-1024x353.jpg)
ซึ่งในกรณีของ มุมเอียง (inclination) ตัวอย่างเช่น 1) หินที่อยู่ในบริเวณขั้วโลกใต้ เส้นแรงแม่เหล็กจะชี้ขึ้นฟ้าตั้งฉาก 90 องศา กับพื้นผิวโลกหรือกับชั้นหินในบริเวณนั้น หรือ 2) หินที่อยู่ในบริเวณซีกโลกเหนือ เส้นแรงแม่เหล็กที่ถูกสต๊าฟไว้จะพุ่งปักลงพื้นผิวโลกหรือตั้งฉาก 90 องศา กับชั้นหินตรงนั้น หรือ 3) หินที่อยู่ในบริเวณเส้นศูนย์สูตร เส้นแรงแม่เหล็กจะวางตัวขนานกับพื้นผิวโลกหรือขนานไปกับตัวเรา โดยหากเราซึ่งเป็นผู้สังเกตหันหน้าไปทางทิศใต้ ในกรณีนี้ เส้นแรงแม่เหล็กจะพุ่งเข้าหาเราด้านหน้าในแนวขนาน ส่วนถ้าเราหันหน้าไม่ทางทิศเหนือ เส้นแรงแม่เหล็กจะเสียบเข้าตรงๆ ทางด้านหลัง (ทะลุถึงหัวใจ) หรือจะให้ยกตัวอย่างอีกที หากเราหันหน้าไปทางทิศตะวันออก เส้นแรงแม่เหล็กก็จะพุ่งเสียบชายโครงด้านขวา หากเราหันหน้าไปทางทิศตะวันตก เส้นแรงแม่เหล็กก็จะเสียบชายโครงด้านซ้าย ตามลำดับ หรือในกรณีที่ 4) หินที่อยู่ในบริเวณซีกโลกใต้ เส้นแรงแม่เหล็กจะพุ่งเฉียงขึ้นฟ้า และกรณีที่ 5) หินที่อยู่ในบริเวณซีกโลกเหนือ เส้นแรงแม่เหล็กก็จะกดหัวลง ประมาณนี้
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2021/02/3-7-1-1024x586.jpg)
จากการศึกษาชุดหินทั้งในทวีปอเมริกาเหนือและทวีปเอเชีย (แผ่นยูเรซีย) นักวิทยาศาสตร์พบว่าหินในแต่ละชุด ตำแหน่งของหินที่วิเคราะห์มีระยะขจัดและทิศทางที่แตกต่างกันในแต่ละช่วงอายุเมื่อเปรียบเทียบกับขั้วแม่เหล็กโลกในอดีต (รูปกลาง) ซึ่งจากการแปลความแบบแฟร์ๆ เป็นเหตุเป็นผลแบบวิทยาศาสตร์ก็สามารถแปลความได้ว่า 1) หินนั้นอยู่ตำแหน่งเดิม คงที่มาตั้งแต่เกิดหินนั้นขึ้น แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาขั้วโลกมีการเปลี่ยนตำแหน่งอยู่ตลอดเวลา หรือ 2) หินหรือพื้นแผ่นดินแถบนั้นอาจมีการเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลา ในขณะขั้วโลกนั้นคงที่เช่นเดิม ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ซึ่งปรากฏการณ์ดังกล่าว เรียกว่า ปรากฏการณ์ขั้วโลกเลื่อนตำแหน่ง หรือ ขั้วโลกพเนจร หรือ ขั้วโลกหลงทาง (polar wandering)
อย่างไรก็ตามข้อมูลสนามแม่เหล็กบรรพกาลที่ได้จากชุดหินในแต่ละอายุในทวีปอเมริกาเหนือและทวีปเอเชียแสดงตำแหน่งของขั้วโลกคนละตำแหน่งกัน ถึงแม้ว่าหินจะมีอายุเดียวกัน ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่ในเวลาเดียวกัน (หินอายุเดียวกัน) จะมีขั้วโลก (เหนือหรือใต้) 2 ขั้วในเวลาเดียวกัน นักวิทยาศาสตร์จึงสรุปว่าขั้วโลกนั้นคงที่ เพียงแต่แผ่นเปลือกโลกมีการเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลา (Steinberger และ Torsvik, 2008) จึงทำให้หินในแต่ละพื้นที่นั้นแสดงสัญญาณหรือเส้นแรงสนามแม่เหล็กโลกแตกต่างกัน และไม่ตรงตามตำแหน่งที่หินนั้นอยู่ในปัจจุบัน
ซึ่งในเวลาต่อมา ผลจากการศึกษา 1) อายุ 2) มุมเอียง (inclination) และ 3) มุมเบี่ยง (declination) ของหินในพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลก นักธรณีวิทยาสามารถสร้างแบบจำลองตำแหน่งของทวีปต่างๆ ในแต่ละช่วงเวลา หรือที่เรียกว่า ภูมิศาสตร์บรรพกาล (paleogeography) (Pan, 1968) ได้ดังรูปด้านล่าง และจากการค้นพบ ปรากฏการณ์ขั้วโลกหลงทาง (polar wandering) จึงเป็นหลักฐานยืนยันว่า
- แนวคิดทวีปเคลื่อน (continental drift) ของอัลเฟรด เวเกเนอร์
- แนวคิดพื้นมหาสมุทรแผ่กว้าง (Sea-floor Spreading) ของแฮรีย์ เฮสส์
- แนวคิดของไวน์-แมททิว-มอร์เลย์ (Vine-Matthews-Morley) ของไวน์ แมททิว และมอร์เลย์
ตลอดจน ทฤษฎีธรณีแปรสัณฐาน (tectonic) นั้นเป็นจริง
![](http://www.mitrearth.org/wp-content/uploads/2021/02/3-7-2-848x1024.jpg)
หลักฐานการศึกษามุมเอียงและมุมเบี่ยง บ่งชี้ว่า ประเทศไทยเคยอยู่ติดกับทวีปออสเตรเลียทางซีกโลกใต้ โดยด้ามขวานเคยอยู่ติดฝั่งตะวันตก ในขณะที่ใบขวานติดฝั่งตะวันออกของออสเตรเลีย และตลอดทางที่ทั้งด้ามขวานและใบขวานเดินทางมาพบกันที่เส้นศูนย์สูตรในปัจจุบัน ทั้งใบและด้ามขวานมีการหมุนวนทั้งแบบทวนเข็มและตามเข็มนาฬิกามาแล้วหลายครั้ง จนสุดท้ายมาเชื่อมติดกันในปัจจุบัน (ปัญญา จารุศิริ และคณะ, 2545)
. . .
บทความล่าสุด : www.mitrearth.org
เยี่ยมชม facebook : มิตรเอิร์ธ – mitrearth