เรียนรู้

6 สภาพแวดล้อม ที่ทำให้หินแข็งๆ แปรสภาพได้

จากลักษณะการแปรสภาพหินประกอบกับลักษณะทางธรณีวิทยาและธรณีแปรสัณฐานที่หินแปรชนิดต่างๆ นั้นถูกพบ นักธรณีวิทยาสามารถจำแนกสภาพแวดล้อมของการแปรสภาพเป็น 6 รูปแบบ

สภาพแวดล้อมการแปรสภาพหินรูปแบบต่างๆ

1) แปรจากสารละลายน้ำร้อน

การแปรสภาพจากสารละลายน้ำร้อน (hydrothermal metamorphism) พบมากแถบสันเขากลางมหาสมุทร โดยน้ำทะเลไหลแทรกซึมลงไปตามแนวรอยแตกของสันเขากลางมหาสมุทร น้ำได้รับความร้อนจากมวลแมกมาใต้พื้นผิวโลกและทำละลายกับหินในแผ่นเปลือกโลกมหาสมุทร เกิดเป็น สารละลายน้ำร้อน (hydrothermal solution) ที่มีไอออนชนิดต่างๆ และก๊าซจากหินหนืดผสมกัน พุ่งขึ้นมาบนพื้นผิวโลกในรูปของ ปล่องควันดำใต้มหาสมุทร (black smoker) ซึ่งโดยปกติสารละลายน้ำร้อนจะมีความว่องไวในการทำปฏิกิริยาทางเคมีสูง ดังนั้นจึงเข้าทำปฏิกิริยากับแร่ต่างๆ ในหินท้องที่ซึ่งถูกสัมผัสกลายเป็นหินแปรได้ง่าย

ปล่องควันดำใต้มหาสมุทร เป็นแหล่งกำเนิดสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาด เช่น หนอนท่อ (tube worm)

(ซ้าย) ปล่องควันดำใต้มหาสมุทร (ขวา) หนอนท่อ (ที่มา : NOAA)

ในสภาพดังกล่าวบางกรณีสารละลายแบบน้ำร้อนจะเข้าทำปฏิกิริยาและดึงเอาองค์ประกอบทางเคมีจากหินท้องที่ไป ต่อมาองค์ประกอบดังกล่าวจะกลายไปเป็นของไหล และเคลื่อนลงไปด้านล่างของหิน โดยสารละลายที่เข้าร่วมกระบวนการตกผลึกใหม่ไม่ได้มาจากหินหนืดทั้งหมด ของไหลบางส่วนเป็นน้ำบาดาลที่ได้รับความร้อน และถูกขับออกมาโดยการหมุนเวียนเปลี่ยนที่ของความร้อนคล้ายกับกระบวนการเกิดกระแสพาความร้อนในเนื้อโลก

บางครั้งสารละลายแบบน้ำร้อนไม่เพียงแต่จะทำปฏิกิริยาในฐานะที่เป็นตัวทำละลายในการตกผลึกใหม่ของหินท้องที่เท่านั้น ยังนำสารเคมีชนิดใหม่เข้ามารวมกับผลึกแร่ที่เกิดขึ้นใหม่ด้วย เรียกว่า การแปรสภาพโดยการแทนที่ (metasomatism) นอกจากนี้สภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิสูงและความดันต่ำ ในบริเวณสันเขากลางมหาสมุทร (mid-oceanic ridge) ยังสามารถทำให้หินท้องที่นั้นเกิดการแปรสภาพได้เช่นกัน เรียกว่า การแปรสภาพบริเวณพื้นมหาสมุทร (ocean floor metamorphism)

2) แปรแบบสัมผัส

การแปรสภาพแบบสัมผัส (contact metamorphism) หรือ การแปรสภาพแบบความร้อน (thermal metamorphism) เป็นการแปรสภาพที่เกิดจากมวลหินอัคนีแทรกดัน ทำให้หินท้องที่สัมผัสกับมวลหินอัคนีและได้รับความร้อนสูง 800-1,000 องศาเซลเซียส แต่ความดันต่ำ เกิดการแปรสภาพและตกผลึกใหม่ของแร่ในบริเวณ ปริมณฑลสัมผัส (aureole) ของมวลหินอัคนีที่แทรกดันเข้ามา โดยเกรดการแปรจะต่ำลงเมื่อห่างจากมวลหินอัคนี


แบบจำลองการแปรสภาพแบบสัมผัสอันเนื่องมาจากแมกมาแทรกดันขึ้นมา
ตัวอย่างแนวผนังแทรกชั้นแทรกดันและแปรสภาพหินข้างเคียงบริเวณหุบเขาแห่งความตาย (Death Valley) ประเทศสหรัฐอเมริกา

3) แปรจากการเคลื่อน

การแปรสภาพจากการเคลื่อน (dislocation metamorphism) เกิดจากแรงทางธรณีแปรสัณฐานมากระทำโดยตรงในที่แคบๆ เช่น ตามแนวรอยเลื่อนที่เคลื่อนที่ผ่านกัน ทำให้หินท้องที่ได้รับความดันรุนแรงและถูกแปรสภาพ

โดยการแปรสภาพจากการเคลื่อนที่เกิดขึ้นได้ 2 รูปแบบ ตามระดับความลึกของแผ่นเปลือกโลกที่ถูกเฉือน คือ กรณีการแปรสภาพระดับตื้น (10-15 กิโลเมตร) หินจะแสดงลักษณะเป็นแบบแข็งเปราะเม็ดแร่จะถูกบดและขยี้ และทำให้เกิดลักษณะ กรวดเหลี่ยมรอยเลื่อน (fault breccia) หรือ ผงรอยเลื่อน (fault gouge)

ในขณะที่การแปรสภาพในระดับลึกลงไป หินจะแสดงลักษณะเหนียว โดยหินที่ถูกเฉือนอย่างรุนแรงภายใต้สภาวะหินแบบเหนียวเรียกว่า หินไมโลไนต์ (mylonite) ซึ่งเกิดจากการเลื่อนตัวอย่างรุนแรงในแผ่นเปลือกโลกระดับลึก

(บนซ้าย) แบบจำลองการแปรสภาพจากการเคลื่อน (บนขวา) กรวดเหลี่ยมรอยเลื่อนหรือผงรอยเลื่อน (ล่าง) หินไมโลไนต์ (ที่มา : www.wikipedia.org)

การแปรสภาพจากการเคลื่อน (dislocation metamorphism) หรือ แบบคะตะคลาสติก (cataclastic metamorphism) หรือ แบบพลวัต (dynamic metamorphism)

4) แปรจากแรงเค้นทางธรณีแปรสัณฐาน

การแปรสภาพบริเวณไพศาล (regional metamorphism) เป็นการแปรสภาพจากกระบวนการชนกันของแผ่นเปลือกโลกทำให้มีการเพิ่มทั้งความร้อนและความดันในบริเวณกว้างเป็นภูมิภาค ครอบคลุมพื้นที่ 10-100 ตารางกิโลเมตร เกิดแรงเฉือนและแนวคดโค้งขนาดใหญ่จำนวนมาก โดยพื้นที่ซึ่งถูกแปรสภาพบริเวณไพศาลในอดีต โดยส่วนใหญ่จะเป็นพื้นที่ หินฐานทวีป (continental shield) และ ลานเสถียร (stable platform) ซึ่งเป็นส่วนที่หลงเหลือมาจากการกัดกร่อนแนวภูเขาในอดีต บางครั้งเรียกว่า การแปรสภาพจากการเกิดภูเขา (orogenic metamorphism)

แผนที่แสดงการกระจายตัวของหินฐานทวีป ลานเสถียรและเทือกเขา
สภาพหินแปรที่เกิดจากการแปรสภาพบริเวณไพศาล

5) แปรจากการถูกฝัง

การแปรสภาพจากการถูกฝัง (burial metamorphism) เกิดจากการเพิ่มความดันและความร้อนจากการทับถมของตะกอนในแอ่งตะกอนที่ฝังอยู่ใต้ดิน โดยไม่มีกระบวนการหินอัคนีเข้ามาสัมพันธ์ ปกติหินจะถูกฝังอยู่ที่ระดับความลึกโดยประมาณ 8-15 กิโลเมตร ขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิตามความลึกในแต่ละพื้นที่ เช่น บริเวณอ่าวเม็กซิโกมีตะกอนหนา > 22 กิโลเมตร ทำให้มีอุณหภูมิ 250-300 องศาเซลเซียสที่ฐานของแอ่งตะกอน และน้ำหนักที่กดทับ หรือ ความดันจากน้ำหนักกดทับ (confining pressure) เพียงพอที่จะทำให้เกิดการแปรสภาพหินได้

แบบจำลองแสดงวิธีการแปรสภาพจากการถูกฝังของตะกอน

6) แปรจากการตกกระทบของอุกกาบาต

การแปรสภาพเนื่องจากการตกกระทบของอุกกาบาต (impact หรือ shock metamorphism) เป็นการแปรสภาพที่ไม่ค่อยพบในปัจจุบัน แต่เนื่องจากเคยมีการตกกระทบของอุกกาบตในอดีต หินบางพื้นที่จึงแสดงการแปรสภาพเนื่องจากอุกกาบาต โดยในพื้นที่ซึ่งมีการตกกระทบจะมีความดันสูงที่สุดขั้วอย่างทันทีทันใด เมื่อถูกตกกระทบทำให้เกิดแร่ชนิดใหม่ บางครั้งเกิดการหลอมละลายบางส่วนของหินในระหว่างการแปรสภาพ

แบบจำลองแสดงพื้นที่ที่มีการแปรสภาพเนื่องจากการตกกระทบของอุกกาบาตและความแตกต่างของระดับความดันเมื่อห่างจากพื้นที่ตกกระทบ (หน่วย GPa)

. . .
บทความล่าสุด : www.mitrearth.org
เยี่ยมชม facebook : มิตรเอิร์ธ – mitrearth

Share:
Slot Toto Slot Gacor Maxwin slot thailand slot toto slot resmi slot thailand slot qris slot gacor maxwin slot gacor maxwin Slot Gacor Maxwin Slot Gacor Maxwin 2024 Situs Slot Gacor 777 Situs Slot Gacor Toto Slot Gacor 2024 Maxwin Slot Gacor Terbaik Slot Gacor 4D Slot Gacor Terpopuler slot gacor maxwin slot toto gacor scatter hitam slot thailand slot777 slot maxwin slot thailand slot toto gacor slot gacor 777 Slot Gacor Thailand slot88 maxwin slot thailand 2024