
มูลฟอสซิล หรือ โคโพรไลต์ (Coprolite) เกิดจากการขับถ่ายของสัตว์ในอดีต กระบวนการที่ทำให้มันกลายเป็นฟอสซิลต้องมีเงื่อนไขสำคัญ ดังนี้ 1) การฝังอย่างรวดเร็ว มูลต้องถูกปกคลุมด้วยตะกอนทันที เพื่อป้องกันการย่อยสลายและการถูกรบกวนจากสัตว์กินซาก 2) การแทรกซึมของแร่ธาตุ แร่ เช่น แคลเซียมฟอสเฟต หรือซิลิกา เข้าไปแทนที่โครงสร้างสารอินทรีย์เดิม 3) การแปรสภาพ เมื่อสารอินทรีย์ในมูลถูกแทนที่ด้วยแร่ธาตุ ทำให้อุจจาระถูกเปลี่ยนแปลงเป็นโครงสร้างที่แข็งและทนทาน กระบวนการนี้เรียกว่า permineralization ซึ่งคล้ายกับการฟอสซิลของกระดูกและเปลือกหอย

มูลฟอสซิล (Coprolite) ถือเป็นข้อมูลสำคัญสำหรับ นักธรณีวิทยา (Geologist) และ นักบรรพชีวินวิทยา (Paleontologist) เพราะสามารถเปิดเผยพฤติกรรม อาหาร และบทบาททางนิเวศวิทยาของสิ่งมีชีวิตในอดีตได้
เพิ่มเติม : ฟอสซิลและวิธีการเกิดฟอสซิล

สภาพแวดล้อมของตะกอน มูลฟอสซิลมักพบในหินตะกอน โดยเฉพาะในแหล่งที่มีน้ำ เช่น ท้องน้ำแม่น้ำ ตะกอนทะเลสาบ หรือแหล่งตะกอนทะเลตื้น บ่งชี้ว่าลักษณะละเอียดของตะกอนช่วยรักษารายละเอียดของโครงสร้างบนพื้นผิวและภายในของมูลฟอสซิลได้อย่างดี
ช่วงเวลาในทางธรณีวิทยา มูลฟอสซิลถูกค้นพบในหินจากหลายยุคทางธรณีวิทยา ตั้งแต่ ยุคแคมเบรียน (Cambrian) จนถึง ยุคควอเทอร์นารี (Quaternary) มูลฟอสซิลที่เก่าแก่ที่สุดมีอายุเกิน 500 ล้านปี ซึ่งมาจากสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ในขณะที่มูลฟอสซิลที่ใหม่กว่านั้นมักมาจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมและนก
มูลฟอสซิล (Coprolite) มีขนาดและสีสันหลากหลาย ขึ้นอยู่กับชนิดของสิ่งมีชีวิตและสภาพแวดล้อมในการฟอสซิล มูลฟอสซิลมักรักษารูปร่างเดิมของอุจจาระ เช่น รูปทรงเกลียวหรือเป็นชิ้นๆ ที่สะท้อนโครงสร้างทางเดินอาหารของผู้ผลิต และอาจมีเศษอาหารที่ไม่ย่อย เช่น กระดูก ซากพืช หรือเปลือกหอย ซึ่งเป็นเบาะแสเกี่ยวกับอาหารของสิ่งมีชีวิต

การจำแนกมูลฟอสซิล
1) แยกตามชนิดของผู้ผลิต มูลฟอสซิลสามารถจำแนกได้ตามชนิดของสิ่งมีชีวิตที่ผลิตมูล โดยพิจารณาจากขนาด รูปร่าง และองค์ประกอบภายใน
- มูลฟอสซิลของสัตว์มีกระดูกสันหลัง เป็นมูลฟอสซิลที่พบมากที่สุด เช่น มูลของปลา สัตว์เลื้อยคลาน สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ นก และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ตัวอย่างเช่น มูลฟอสซิลของฉลามมักมีรูปร่างเป็นเกลียว เนื่องจากลักษณะลำไส้ที่เป็นวาล์วเกลียว
- มูลฟอสซิลของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง มูลฟอสซิลขนาดเล็กจากสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง เช่น หนอน หอย และแมลง มักมีโครงสร้างที่เรียบง่าย
- มูลฟอสซิลจุลินทรีย์ มูลบางชนิดเกิดจากกิจกรรมของจุลินทรีย์ เช่น ในสภาพแวดล้อมสโตรมาโตไลต์

2) แยกตามองค์ประกอบ องค์ประกอบของมูลฟอสซิลสะท้อนถึงอาหารของสิ่งมีชีวิตและสภาพแวดล้อมที่มูลถูกฝัง
- มูลฟอสซิลจากสัตว์กินพืช มีเส้นใยพืช เมล็ด หรือเกสรสะสมอยู่ มูลลักษณะนี้ มักมีพื้นผิวเป็นเส้นใยหรือมีลักษณะแตกเป็นชิ้น
- มูลฟอสซิลจากสัตว์กินเนื้อ มีชิ้นส่วนกระดูก เกล็ด หรือฟันของสัตว์ มูลประเภทนี้ มักมีความหนาแน่นสูงและอาจแสดงร่องรอยของการย่อย
- มูลฟอสซิลจากสัตว์กินทั้งพืชและสัตว์ มีส่วนผสมของพืชและสัตว์สะท้อนถึงอาหารที่หลากหลาย
3) แยกตามรูปร่าง มูลฟอสซิลมีหลากหลายรูปร่างและขนาด ขึ้นอยู่กับโครงสร้างทางกายวิภาคของผู้ผลิตและสภาพแวดล้อมของการกลายเป็นฟอสซิล
- ทรงกระบอก พบในสัตว์เลื้อยคลานและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมบางชนิด
- ทรงเม็ด มักพบในสัตว์ขนาดเล็กหรือสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง
- ทรงเกลียว เป็นลักษณะเฉพาะของปลาบางชนิด เช่น ฉลาม
- ทรงไม่แน่นอน มักเกิดจากจุลินทรีย์หรือมูลที่เก็บรักษาไม่สมบูรณ์
ความสำคัญ
1) การศึกษานิเวศวิทยาในอดีต มูลฟอสซิลให้หลักฐานโดยตรงเกี่ยวกับอาหารและระบบนิเวศในยุคโบราณ เช่น
- การวิเคราะห์อาหาร ส่วนประกอบในมูล เช่น เส้นใยพืชหรือชิ้นส่วนกระดูก ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจว่าในอดีตสิ่งมีชีวิตกินอะไร
- ความสัมพันธ์ในห่วงโซ่อาหาร มูลฟอสซิลช่วยแสดงความสัมพันธ์ระหว่างผู้ล่าและเหยื่อ
- สภาพแวดล้อมในอดีต การเก็บรักษามูลฟอสซิลบ่งชี้ถึงสภาพแวดล้อมที่เฉพาะเจาะจง เช่น สภาพไร้ออกซิเจนที่ช่วยป้องกันการย่อยสลาย
2) วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต การศึกษามูลฟอสซิลช่วยติดตามวิวัฒนาการของระบบย่อยอาหารและพฤติกรรมการกินในสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ เช่น
- การปรับตัว การพบเศษอาหารพิเศษ เช่น เมล็ดหรือเปลือกหอย แสดงถึงการปรับตัวของกลไกการกินอาหาร
- เหตุการณ์การสูญพันธุ์ การเปลี่ยนแปลงในองค์ประกอบของมูลฟอสซิลสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในระบบนิเวศที่เกิดจากเหตุการณ์สูญพันธุ์
3) ตัวบ่งชี้ทางธรณีวิทยา มูลฟอสซิลเป็นตัวชี้วัดกระบวนการธรณีที่กว้างขึ้น
- ตัวบ่งชี้ภูมิอากาศ พืชในมูลฟอสซิลของสัตว์กินพืชบ่งบอกถึงสภาพภูมิอากาศและพืชพรรณในอดีต
- กระบวนการตะกอน การเก็บรักษามูลฟอสซิลสะท้อนถึงพลวัตของการสะสมตัวของตะกอน เช่น การไหลของน้ำและอัตราการทับถม

การค้นพบที่สำคัญ
1) มูลฟอสซิลของไดโนเสาร์ หนึ่งในการค้นพบที่สำคัญที่สุดคือมูลฟอสซิลจากยุคครีเทเชียสในรัฐซัสแคตเชวัน ประเทศแคนาดา ซึ่งมีชิ้นส่วนกระดูกเล็ก ๆ แสดงว่าผลิตโดยไดโนเสาร์กินเนื้อขนาดใหญ่

2) มูลฟอสซิลของฉลาม มูลฟอสซิลรูปทรงเกลียวของฉลามในยุคโบราณ เช่น Helicoprion ถูกค้นพบในตะกอนทะเล เป็นหลักฐานที่ช่วยอธิบายกลไกการกินอาหารของสัตว์นักล่าเหล่านี้
3) มูลฟอสซิลของมนุษย์ มูลฟอสซิลของมนุษย์ เช่น ที่ค้นพบในถ้ำ Paisley Caves รัฐโอเรกอน ประเทศสหรัฐอเมริกา มีอายุเกิน 14,000 ปี ช่วยให้เข้าใจถึงอาหารและโรคในมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์
โดยสรุป มูลฟอสซิล (Coprolite) เป็นหน้าต่างที่เปิดเข้าสู่โลกยุคโบราณ ช่วยให้เราเข้าใจถึงอาหาร พฤติกรรม และสิ่งแวดล้อมของสิ่งมีชีวิตในอดีต มันเชื่อมโยงระหว่างธรณีวิทยาและชีววิทยา และยังคงมีบทบาทสำคัญในการไขปริศนาความซับซ้อนของระบบนิเวศในอดีตและประวัติศาสตร์ของโลก
. . .
บทความล่าสุด : www.mitrearth.org
เยี่ยมชม facebook : มิตรเอิร์ธ – mitrearth